เพิ่มเงินคนชรา6เดือน ปรับสูตรใหม่อุ้มดีเซล

ครม.เอาใจผู้สูงวัย! อนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษผู้สูงอายุ 100- 250 บาท ตามช่วงวัย รวม 6 เดือน บรรเทาผลกระทบ ศก.ช่วยผู้สูงอายุกว่า 10 ล้านคน ยังไม่เคาะ "คนละครึ่งเฟส 5" ไปต่อหรือไม่ โยน “คลัง” พิจารณาความจำเป็นควบคู่การประเมินเศรษฐกิจ  นายกฯ ขอหารือ 3 ฝ่ายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่ว ปท. "สุพัฒนพงษ์" สั่งปรับสูตรอุ้มดีเซลใหม่ “บิ๊กตู่” พร้อมรับข้อเสนอม็อบรถบรรทุก วอนเข้าใจรัฐบาลบ้าง

เมื่อวันอังคาร น.ส.รัชดา ธนาดิเรก  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติหลักการจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษแก่ผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิสวัสดิการเบี้ยยังชีพในปีงบประมาณ 2565 เฉลี่ยรายละ 100-200 บาท ตามช่วงอายุ จำนวน 10,896,444 ล้านคน วงเงินรวม 8,348.16 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน-กันยายน 2565 ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากสถานการณ์โควิดผู้สูงอายุได้รับผลกระทบทางรายได้คิดเป็นร้อยละ 50.7 ของผู้สูงอายุทั้งหมด และรายได้ของผู้สูงอายุที่มาจากการทำงานมีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 40 เหลือเพียงร้อยละ 22

น.ส.รัชดากล่าวว่า การจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษแก่ผู้สูงอายุในครั้งนี้ จะจ่ายเพิ่มจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นรายเดือนตามช่วงอายุ เป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน-กันยายน 2565 ดังนี้ 1.อายุ 60-69 ปี รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600 บ./เดือน รับเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่ม 100 บ./เดือน รวมเป็น 700 บ./เดือน 2.อายุ 70-79 ปี รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 700 บ./เดือน รับเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่ม 150 บ./เดือน รวมเป็น 850 บ./เดือน 3.อายุ 80-89 ปี รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 800 บ./เดือน รับเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่ม 200 บ./เดือน รวมเป็น 1,000 บ./เดือน และ 4.อายุ 90 ปีขึ้นไป รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 1,000บ./เดือน รับเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่ม 250 บาท/เดือน รวมเป็น 1,250 บ./เดือน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า เดือนนี้ผู้สูงอายุจะได้รับเบี้ยยังชีพที่มีเดิมอยู่แล้ว และเงินช่วยเหลือพิเศษตรงนี้ โอนตรงเข้าบัญชีจำนวน 700-1,250 บาทต่อเดือน นี่คือสิ่งที่รัฐมีความห่วงใยให้กับพี่น้องผู้สูงอายุที่เราต้องดูแลเป็นพิเศษในช่วงสถานการณ์โควิด ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการทำงาน การได้รับเงินจากลูกหลาน เพื่อให้พี่น้องผู้สูงอายุได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น นั่นคือหลักการของตนและรัฐบาลที่ให้ความสำคัญสูงสุดในการดูแลประชาชนทุกกลุ่ม เราจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนแทนนายกฯ ตามที่ได้รับมอบหมายต่อคำถามว่านโยบายคนละครึ่งยังจะไปต่อหรือไม่ โดยนายกฯ ตอบว่า กระทรวงการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสำนักงบประมาณ ต้องหารือว่าจะทำอะไรได้ ทุกคนก็ทราบดีว่างบประมาณมีจำกัด ส่วนคำถามความชัดเจนโครงการคนละครึ่งเฟส 5 เป็นอย่างไร หลังมีข่าวว่าอาจมีการปรับเป็นรัฐจ่าย 25% ประชาชนจ่าย 75% งบประมาณที่มีเพียงพอจะทำโครงการหรือไม่ โดยนายกฯ ตอบว่า ยังไม่ได้ข้อสรุป

"โครงการคนละครึ่งเฟส 5 จะมีหรือไม่นั้น กระทรวงการคลังยังต้องพิจารณาก่อน และไม่ได้พูดถึงคนละเสี้ยว ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ จากผลกระทบปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ยังต้องพิจารณาว่าจำเป็นหรือไม่ เพราะเป็นมาตรการที่ใช้งบประมาณสูง" นายธนกรระบุ

ส่วนกรณีผู้ใช้แรงงานที่เรียกร้องให้ขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็น 492 บาททั่วประเทศ ตามที่พรรคพลังประชารัฐเคยหาเสียงไว้นั้น นายกฯ ชี้แจงว่า มีการประชุมคณะกรรมการ 3 ฝ่ายอยู่แล้วว่าจะขึ้นได้แค่ไหน

ด้านนายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเรียกร้องให้เร่งรัดการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำให้กับผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศในอัตราเดียวกันที่ 492 บาทว่า เป็นข้อเรียกร้องที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานต้องการ ซึ่งเราก็รับไว้พิจารณา ซึ่งประเด็นนี้จะเป็นข้อเรียกร้อง เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี ด้วยเรื่องที่สมควรจะขึ้นค่าแรงหรือไม่นั้น คิดว่าน่าจะขึ้น แต่จะขึ้นเท่าไร ไม่อาจทราบได้ ตนพยายามจะเร่งให้เสร็จในเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำได้ถึง 492 บาททั่วประเทศโอกาสที่จะทำให้มาเท่ากัน มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าตอนที่เราให้พนักงานไตรภาคีจังหวัดพิจารณา เขาต้องเอาจากฐานเดิมว่าล่าสุดคือเท่าไร พร้อมกับตัววัดต่างๆ ซึ่งมีสูตรคำนวณอยู่แล้ว

วันเดียวกัน นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า หลังจากสิ้นสุดมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ที่ลิตรละ 30 บาทในวันที่ 31 เม.ย.นี้ หลังจากนั้นรัฐบาลจะยังคงมีมาตรการให้ความช่วยเหลือลดผลกระทบจากราคาพลังงานต่อไป แต่จะมีสูตรในการคำนวณใหม่ โดยได้สั่งการให้ทางปลัดกระทรวงพลังงานไปพิจารณาแล้ว ยืนยันว่ารัฐบาลมีมาตรการดูแลอย่างแน่นอน อาจจะมากกว่ามาตรการเดิม ซึ่งรัฐบาลอุ้มส่วนต่างอยู่ที่ 50 ต่อ 50 ใช้วงเงินอุดหนุนอยู่ที่วันละ 6,000 ล้านบาท

รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้มีความชัดเจนว่ารัฐจะปล่อยให้ราคาขายปลีกดีเซลในประเทศปรับขึ้นแบบขั้นบันได โดยให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปอุดหนุนราคาครึ่งหนึ่งของอัตราที่ปรับขึ้นตามมติ ครม.เห็นชอบ แต่จะปรับขึ้นเท่าไหร่นั้น คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงานเป็นประธาน อยู่ระหว่างหารือรายละเอียดและกำหนดหลักเกณฑ์ให้มีความชัดเจนเปิดเผยให้สาธารณชนทราบภายใน 2-3 วันนี้ ก่อนมาตรการตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร จะสิ้นสุดลง 30 เม.ย.นี้

 “ปัจจุบันรัฐอุดหนุนราคาดีเซลประมาณ 10.52 บาท/ลิตร เพื่อตรึงราคาดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร ซึ่งหลังจากวันที่ 30 เม.ย. ดีเซลในประเทศอาจปรับขึ้นครั้งละ 50 สตางค์/ลิตร หรือ 1 บาท/ลิตร เป็น 31, 32, 33 บาท/ลิตร ไม่ปรับขึ้นครั้งเดียวที่ 35 บาท/ลิตร เพราะประชาชนจะช็อก โดยความถี่อาจจะ 3-4 วันปรับขึ้นครั้งหนึ่ง เพื่อให้เกิดผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด ตัวแปรหลักขึ้นอยู่กับทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลก แต่หากราคาตลาดโลกขึ้นแล้วลง เราอาจปรับขึ้นไม่เต็มที่หรือไม่ปรับขึ้นก็ได้”รายงานข่าวระบุ

ขณะที่นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในเวลา 10.00 น. วันที่ 27 เม.ย.65 ตนพร้อมเครือข่ายพันธมิตรจะจัดแถลงข่าวและยื่นหนังสือ “คัดค้าน” ประเด็นการเลิกตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร และขอความชัดเจนในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งจัดปราศรัยเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันดีเซล ณ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 ถนนพิษณุโลก กรุงเทพฯ

ทางด้าน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ก็พร้อมที่จะรับข้อพิจารณา และรับฟังก่อน เพราะดูก็รู้ว่าปัญหามันมาจากอะไร ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดูแลมาระยะหนึ่งแล้ว และทุกคนก็ทราบดีแล้วว่ากองทุนพลังงานของเรานั้นใช้ไปหมดแล้ว แม้แต่เมื่อได้กู้เงินมาเสริมก็หมดลงไปแล้วเช่นกัน เพราะฉะนั้นการช่วยเหลือจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนเพียงใดก็ต้องเข้าใจรัฐบาลกันบ้าง เพราะฉะนั้นการปรับขึ้นราคาดีเซลประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนมากด้วย อีกทั้งจะพันไปถึงอย่างอื่นด้วย นำไปสู่เรื่องของอัตราเงินเฟ้อ เรื่องนี้ก็ต้องเข้าใจกันว่ารัฐบาลจะดูแลได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร วันนี้เป็นวันเวลาที่ทุกคนจะต้องร่วมมือกันบ้าง ซึ่งรัฐบาลเองก็พร้อมที่จะดูแล.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เช็กเงื่อนไข 'ครอบครัวอุปถัมภ์' ผู้สูงอายุ รับเดือนละ 3 พัน

'รองโฆษกรัฐบาล' เผยเงื่อนไขคุณสมบัติ 'ครอบครัวอุปถัมภ์' ผู้สูงอายุ มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 3 พันบาท เริ่มยื่นเรื่องได้ตั้งแต่เดือน พ.ค.