ไทย-ลาวม่วนซื่นเปิดสะพาน

ชื่นมื่นพี่น้องไทยลาว “บิ๊กตู่-นายกฯ ลาว” ลั่นฆ้องก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 5 บึงกาฬ-บอลิคำไซ ประกาศเล็งต่อเส้นสาละวัน หยอดคำหวานชาวบ้านเอาหัวใจความคิดถึงมาให้ ยันตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเมือง   ชี้เป็นของขวัญให้ ปชช.สองประเทศ ฉลองความสัมพันธ์ครบ 75 ปี พร้อมเชื่อมเส้นทางหมายเลข 8 เปิดทางสู่เมืองจีน หนุนการค้าขายในภูมิภาค

เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 28 ตุลาคม ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ  รมว.กลาโหม พร้อมคณะ ประกอบด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา  รมว.มหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย ออกเดินทางไปยังท่าอากาศยานทหาร (กองบิน 23) จังหวัดอุดรธานี และเดินทางต่อไปยังจังหวัดบึงกาฬ เพื่อประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ)

โดยเมื่อมาถึงบริเวณพื้นที่ก่อสร้างโครงการสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 ฝั่งไทย ณ จังหวัดบึงกาฬ  พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทักทายพบปะประชาชนชาวบึงกาฬที่มาให้การต้อนรับ พร้อมกล่าวตอนหนึ่งว่า ขอบคุณชาวบึงกาฬ​ ตนขอบคุณเจ้าหน้าที่ ขอบคุณผู้ว่าฯ วันนี้ดีใจที่มีโอกาสมาถึงจังหวัดบึงกาฬ ระยะทางกว่า 700 กิโลเมตร​ จากกรุงเทพฯ เห็นแล้วว่าบ้านเมืองเราสงบเรียบร้อยดี หลายอย่างรัฐบาลทราบแล้วว่ามีหลายเรื่องที่มีปัญหาอยู่  ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน สัญญาณอินเทอร์เน็ตก็ยังช้า เดี๋ยวจะนำไปดูว่าจะทำอะไรให้ได้บ้าง แต่ที่บึงกาฬโชคดีที่ธรรมชาติยังโอเค​ ขอประชาชนช่วยกันรักษาป่าไม้ไว้ด้วย  และที่บึงกาฬทราบว่ามีการปลูกยางไว้จำนวนมาก ส่วนระบบน้ำปัจจุบันน้ำเรามีเยอะ​ ก็ต้องบริหารจัดการน้ำให้ได้  ส่วนระบบชลประทานรับจะไปดูให้

นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้ประชาชนมาจำนวนเยอะมากเลยพูดไม่ออก​เพราะตื่นเต้น ขอแสดงความยินดีกับชาวบึงกาฬ​ จะได้มีช่องทางมีสะพานใหม่ขึ้นมา คาดว่าอีกคงไม่นาน นี่คือสะพานแห่งที่ 5 บอลิคำไซ และกำลังพิจารณาออกแบบเรื่องสะพานแห่งที่ 6 ซึ่งออกแบบศึกษาไว้แล้ว ก็จะทำต่อไปอีกเส้นหนึ่งคือเส้นทางสาละวัน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับชาวบึงกาฬ​ด้วยว่า “เอาหัวใจชาวกรุงเทพฯ​ ความคิดถึง​ ความรัก มาถึงพวกเราด้วยจากทุกจังหวัด วันนี้ค่อนข้างมีปัญหาเรื่องเวลาอยู่เหมือนกัน  เพราะเวลาต้องเป็นไปตามกำหนด เมื่อเช้าออกจากกรุงเทพฯ บินมาตั้งแต่เช้า คิดถึงทุกคน นี่แหละคนไทย​ เราไม่ทิ้งกัน​ ไม่เคยทิ้งกัน ดีใจที่ได้มาเจอกันในวันนี้ ถึงแม้ว่าจะมีเวลาน้อย ขอบคุณทุกคน ข้าราชการทุกคนด้วย เอาความรักความคิดถึงความห่วงใยมาฝากจากรัฐบาล”

ในเวลา 10.30 น. ที่ สปป.ลาว พล.อ.ประยุทธ์  และนายพันคำ วิพาวัน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ณ แขวงบอลิคำไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยนายกรัฐมนตรีของ 2 ประเทศร่วมกันวางศิลาฤกษ์​โครงการและกดปุ่มเปิดสะพานมิตรภาพไทย​- ลาว บึงกาฬ-บอลิคำไซ อย่างเป็นทางการ จากนั้นนายคำพันได้ลั่นฆ้อง 9 ครั้งเอาฤกษ์เอาชัย ก่อนเยี่ยมชมนิทรรศการและถ่ายรูปร่วมกัน โดยมีคณะรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศร่วมด้วย พร้อมชมวิวริมฝั่งแม่น้ำโขง

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีและความร่วมมือโครงการ ตนรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นประธานร่วมกับนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ในพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ซึ่งถือเป็นโครงการที่มีความสำคัญเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองประเทศ และเป็นความคืบหน้าสำคัญจากการหารือของนายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศ  เมื่อครั้งนายกรัฐมนตรี สปป.ลาวเยือนไทยอย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2565 สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันดี เป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกันในทุกระดับ มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเสมอมา

“ซึ่งพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 5 นี้ เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพ ความภาคภูมิใจของทั้งสองประเทศที่ร่วมกันพัฒนา และส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกันมาโดยตลอด รวมถึงเป็นแบบอย่างความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ภายหลังจากที่ทั้งสองประเทศได้ยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 5 ถือเป็นโครงการยุทธศาสตร์ที่สำคัญของรัฐบาลไทยในการเชื่อมต่อ สปป.ลาวและภูมิภาค รวมถึงยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของ  สปป.ลาว ที่จะพัฒนาประเทศให้เป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญของภูมิภาค” นายกรัฐมนตรีระบุ 

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สะพานแห่งนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการไปมาหาสู่กัน เพิ่มทางเลือกในการคมนาคมขนส่งระหว่างไทยกับ สปป.ลาว ตลอดจนช่วยส่งเสริมความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาคระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม บนเส้นทางหมายเลข 8 รวมถึงสามารถเชื่อมต่อไปยังจีนได้สะดวกมากขึ้น ทำให้การค้าขายในภูมิภาคคล่องตัวและเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น และในบริบทการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19  สะพานแห่งนี้จะช่วยรองรับปริมาณการค้าระหว่างประเทศที่จะเพิ่มขึ้น และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของไทยและตอนกลางของ สปป.ลาว โดยเฉพาะระหว่าง จ.บึงกาฬ และแขวงบอลิคำไซ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่นมากยิ่งขึ้น เกิดการพัฒนาในพื้นที่ และการสร้างงานสร้างรายได้ให้ประชาชนในทั้งสองฝั่ง

“ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายไทยและฝ่าย สปป.ลาว ที่ร่วมมือกันขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 5 ให้มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม เชื่อมั่นว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จตามกรอบเวลาในปี 2024 เพื่อเป็นของขวัญสำคัญให้ชาวไทยและชาวลาวในโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ในปี ค.ศ.2025 (พ.ศ. 2568) ตนยืนยันว่ารัฐบาลไทยพร้อมร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับรัฐบาล สปป.ลาว ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือที่มีผลลัพธ์เป็นรูปธรรม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ  สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศ" พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

จากนั้นนายกฯ ทั้ง 2 ประเทศได้ร่วมกันโปรยข้าวตอกดอกไม้และธัญพืช 9 ชนิดบนแผ่นศิลาฤกษ์เพื่อความเป็นสิริมงคลและความรุ่งเรือง ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะลั่นฆ้อง 9 ครั้ง เพื่อเป็นสัญญาณเริ่มต้นการก่อสร้างโครงการ โดยนายกฯ ทั้ง 2 ประเทศยังได้จับมือและกอดกันอย่างชื่นมื่นก่อนถ่ายภาพร่วมกัน จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์​เดินควงนายพันคำพบปะกับชาวบึงกาฬ​ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มและเป็นกันเอง ขณะที่นายพันคำทักทายชาวบ้านพร้อมถามว่า "ซำบายดีบ่ทุกคน" และกล่าวว่า​ "ฮักแพงกันเด้อ"  ขณะที่มีชาวบ้านเข้าสวมกอดนายพันคำ พร้อมกับระบุ "ดีใจนำเด้อที่จะได้สะพาน​ สิได้ขัวนำ" นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านตะโกนให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “นายกฯ สู้ๆ”

ต่อจากนั้นนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน ณ ห้องเดอะวัน  คอนเวนชั่น ฮอลล์ โรงแรมเดอะวัน จ.บึงกาฬ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อดีตบิ๊กข่าวกรอง ชี้ 'บิ๊กทิน' กินยาผิด! ยันทหารไม่อยากยึดอำนาจถ้านักการเมืองไม่โกง

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart หัวข้อ