‘บิ๊กตู่’ลงใต้ตกใจแฟนคลับแน่น

     เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 11 มีนาคม  2566 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พร้อม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และคณะ ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานทหาร กองบิน 56 ตำบลโคกม่วง อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา เพื่อลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดยะลา

     โดย พล.อ.ประยุทธ์ยังใส่เฝือกอ่อนที่มือด้านขวาที่มีอาการอักเสบ ขณะที่มือด้านซ้ายยังคงใส่ที่พยุงข้อมือเพื่อป้องกันการติดเชื้อบริเวณที่มีรอยจากการถอดสายใส่ยาฆ่าเชื้อ ทั้งนี้ ก่อนออกเดินทาง  พล.อ.ประยุทธ์ได้รับไหว้สื่อมวลชนและกล่าวทักทายว่า “สวัสดีนะจ๊ะ เดินทางปลอดภัย”

     ต่อมาเวลา 11.45 น. ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา ถนนนางงาม ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา พล.อ.ประยุทธ์และคณะไหว้สักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพเจ้าภายในศาล โดยมีนายคณธร รัตนปราการ นายกสมาคมฮกเกี้ยนสงขลา  คณะกรรมการสมาคมจีนจังหวัดสงขลา   ประชาชนและนักท่องเที่ยวรอให้การต้อนรับ

     เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา ได้ไหว้เทวดาฟ้า ดินซึ่งตั้งอยู่ภายนอกศาลเจ้า ก่อนมายังบริเวณที่ตั้งโต๊ะพิธีภายในศาลเจ้าซึ่งมีดอกไม้ธูปเทียน น้ำชา อาหารผลไม้  พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้สักการะองค์เจ้าพ่อหลักเมือง เสี่ยง ฮ๋อง เหล่า เอี๋ย และเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ภายในศาลเจ้า จากนั้นนายกรัฐมนตรีตีกลอง ตีระฆัง ตีฆ้องเอาฤกษ์เอาชัยเพื่อความเป็นสิริมงคลในโอกาสเดินทางมาตรวจราชการจังหวัดสงขลา

     ก่อนถ่ายภาพร่วมกับนายกสมาคมฯ  และคณะกรรมการฯ แล้วเดินแวะทักทายประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มารอให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง

     สำหรับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลาแห่งนี้ ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยเชื้อสายจีนทั้งในจังหวัดสงขลาและใกล้เคียง ตามความเชื่อของชาวสงขลาเชื้อสายจีน ได้มีการอัญเชิญองค์เทพศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกปักรักษาเมือง เป็นองค์เจ้าพ่อหลักเมืองมีชื่อว่า เสี่ยง ฮ๋อง เหล่า เอี๋ย มาประดิษฐานไว้ ตั้งอยู่ด้านหลังของเสาหลักเมืองสงขลา โดยตามความเชื่อของชาวสงขลาเชื้อสายจีนนั้น ผู้ใดที่มากราบไหว้สักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลาและเทพเจ้าภายในศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลามักจะประสบความสำเร็จ

     จากนั้นเวลา 12.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางมาตรวจเยี่ยมพื้นที่ก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาเชื่อม อ.เมืองสงขลากับ อ.สิงหนคร ณ ท่าแพขนานยนต์ อ.เมืองสงขลา จ.สงขลา โดยมีนายเจือ ราชสีห์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ และ ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี อดีต ส.ส.เขต 4 สงขลา พรรคพลังประชารัฐ, นายสายัณห์ ยุติธรรม อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ว่าที่ผู้สมัครพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ทันทีที่มาถึงได้มีประชาชนมอบดอกไม้ให้การต้อนรับพร้อมตะโกนว่า "ลุงตู่สู้ๆ" และ "ชาวสงขลารักลุงตู่"

ไม่นึกว่าคนจะเยอะขนาดนี้

     พล.อ.ประยุทธ์กล่าวมอบนโยบายและพบปะประชาชน ตอนหนึ่งว่า วันนี้ได้มีโอกาสมาเยือนสงขลาอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะชาวสิงหนคร พี่น้องชาวสงขลาและพื้นที่ใกล้เคียง เห็นทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสดี และเห็นข้างทางก็น่ารัก ทุกคนให้การต้อนรับตนอย่างอบอุ่นด้วยรอยยิ้ม  ซึ่งช่วงเช้าตนได้สักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ก็ขอพรให้ประเทศชาติและประชาชนมีความสุข ปลอดภัย และให้เราได้ทำงานได้สำเร็จ เพื่อพี่น้องของเราทั้งประเทศโดยเฉพาะชาวสงขลาด้วยในวันนี้

     นายกฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า "ขอให้ทุกคนมีความสุข รักกันมากๆ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน นั่นคือหัวใจของนายกฯ" ก่อนที่จะลงเวทีพบปะทักทายกับประชาชน พร้อมถ่ายรูปร่วมกับชาวบ้านที่มาต้อนรับเป็นที่ระลึก และออกเดินทางไปพบปะประชาชนชาวหาดใหญ่ที่ตลาดสันติสุขและตลาดกิมหยง อ.หาดใหญ่ ซึ่งมีประชาชนรอรับจำนวนมาก

     ที่ตลาดกิมหยง นายกรัฐมนตรีได้กล่าวผ่านโทรโข่งว่า "ภาคใต้จังหวัดสงขลาต้องมีสันติสุข พวกเราต้องช่วยกัน และช่วยรัฐบาล ช่วยให้บ้านเมืองสงบสุข ขอบคุณน้ำใจไมตรี รัฐบาลจะดูแลทุกคน"  พร้อมกล่าวด้วยว่า "ไม่นึกว่าคนจะเยอะขนาดนี้ รบกวนทำให้ตลาดวุ่นวายไปหมด แต่ถึงไม่ได้มาก็คิดถึงเสมอ และติดตามสถานการณ์ภาคใต้มาโดยตลอด ซึ่งก็มีงานเยอะ ดูแลทุกภาคทุกจังหวัด แต่ไม่เคยลืมภาคใต้ เมื่อเช้าก็ไปรับฟังปัญหาและรับจะไปดูแลภาคใต้"

     ช่วงเย็น พล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปถึงจังหวัดยะลา ที่ศูนย์ดะวะห์แห่งประเทศไทย (มัรกัสยะลา) อ.เมืองยะลา ได้พบปะผู้นำดะวะห์ และผู้เข้าร่วมบรรยายธรรม เพื่อต้อนรับเดือนรอมฎอนอันประเสริฐของชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลาม โดยมีท่านเมาลานา ชามิม ผู้แทนผู้นำดะวะห์ของโลกคนปัจจุบัน เมาลานาซะอัต จากประเทศอินเดีย ท่านบาบออับดุลรอมัน ผู้นำดะวะห์ของประเทศไทย ท่านอุสตาซ มามุด ผู้นำศาสนา และชาวไทยมุสลิมเข้าร่วม นอกจากนี้ยังมีนายอะห์หมัด บอสตา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 ยะลา พรรครวมไทยสร้างชาติ ให้การต้อนรับด้วย

     นายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า ไม่มีอะไรทำให้บ้านเมืองเราสงบสุขได้เท่าความรัก ความสามัคคีของคนไทยด้วยกัน บ้านเมืองกำลังเดินไปข้างหน้า ไม่มีอะไรแบ่งแยกได้ถ้าเรามีใจที่ตรงกัน ไม่ว่าอยู่ไหนก็ตามต้องเคารพซึ่งกันและกัน ประเทศไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ต้องอยู่ด้วยกันด้วยความสงบสุข ไม่ว่าเชื้อชาติศาสนาไหนล้วนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น

     จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เดินพบปะทักทายให้กำลังใจชาวไทยมุสลิมอย่างเป็นกันเอง สร้างความประทับใจให้พี่น้องชาวมุสลิมเป็นอย่างมาก ตลอดเส้นทางมีประชาชนมาขอเซลฟีและให้กำลังใจ บอกให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีกนานๆ

ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ

     ขณะที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยนโยบายหาเสียงภายใต้แคมเปญ “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” ตามยุทธศาสตร์ของ ว่า นโยบายภายใต้แคมเปญนี้ถือเป็นความตั้งใจของพรรคที่จะสานต่อโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งปรากฏผลชัดเจนว่าทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสามารถช่วยให้ประชาชนคลายความเดือดร้อนในช่วงวิกฤตไปได้

     นายพีระพันธุ์ระบุว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะสานงาน “ทำต่อ” ตามยุทธศาสตร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ และพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนอีกหลายโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องและความเป็นอยู่ของประชาชนทุกกลุ่มทุกช่วงวัย เพราะความเดือดร้อนของประชาชนไม่สามารถรอได้ ทางพรรคจึงได้นำร่องหาเสียงด้วย 5 นโยบายโดนใจ ที่พร้อมช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ลดภาระหนี้ สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ชีวิต และขจัดปัญหาอุปสรรคด้านกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ดังนี้ 1.เพิ่มสิทธิ ‘บัตรสวัสดิการพลัส’ เป็น 1000 บาท/เดือน และสิทธิเบิกฉุกเฉิน 10,000 บาท/คน 2.ตั้ง ‘กองทุนฉุกเฉินประชาชน’ วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท 3. คืน 30% เงินสะสมชราภาพให้ผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 4.โครงการ ‘ปลดหนี้ด้วยงาน’ 5.รื้อกฎหมายที่รังแกประชาชน และเป็นอุปสรรคการทำกิน

     ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมสีมาธานี อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา พรรคชาติพัฒนากล้า นำโดยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายเทวัญ ลิปตพัลลภ เลขาธิการพรรคชาติพัฒนากล้า ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เป็นต้น เปิดตัวนโยบายพรรคชาติพัฒนากล้า "Koratnomics" การพัฒนาโคราชและภาคอีสาน ความมั่นใจเอาเศรษฐกิจยุคทองกลับมา

     นายสุวัจน์กล่าวว่า นโยบาย "Koratnomics" (โคราชโนมิกส์) เพื่อเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องที่จะทำให้อีสานและ จ.นครราชสีมา กลับรุ่งเรืองอีกครั้ง เอาเศรษฐกิจยุคทองกลับมาสู่อีสานและนครราชสีมา พล.อ.ชาติชายเคยเอานโยบายแปรสนามรบเป็นสนามการค้า เปิดประตูอีสานสู่อินโดจีน คราวนี้นโยบาย "Koratnomics" (โคราชโนมิกส์)เหมือนกับเปิดประตูอีสานสู่อินโดจีน ภาคสอง ภาคต่อที่จะยิ่งใหญ่กว่าเดิม เข้มแข็งกว่าเดิม แล้วทำให้เศรษฐกิจกลับมายิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเดิม ซึ่งเหมือนกับเรามี EEC เมื่อก่อน พล.อ.ชาติชายทำนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก วันนี้ก็แน่น  วันนี้ก็เต็ม

     ฉะนั้นโคราชโนมิกส์เป็นนโยบายเอาเศรษฐกิจยุคทองของโคราชของอีสานกลับมา ประกอบด้วยนโยบาย 5 ด้านคือ เราจะต้องสร้างภาคอีสานให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจใหม่ของโคราช 2.ต้องสร้างระบบคมนาคมที่เข้มแข็งและทันสมัย 3.ต้องสร้างให้โคราชอีสานเป็นดินแดนแห่งเมืองท่องเที่ยวที่เป็นอินเตอร์ 4.โคราชอีสานเป็นเมืองผลิตอาหารให้กับโลก และสุดท้าย 5.เป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาที่พี่น้องประชาชนประสบมากๆ คือ น้ำท่วม น้ำแล้ง และน้ำประปาไม่เพียงพอ หรือนโยบายโคราชเมืองน้ำไม่ท่วม น้ำไม่แล้ง ประปาเพียงพอ ฉะนั้นใน 5 นโยบายนี้จะมีองค์ประกอบครบถ้วนสมบูรณ์ที่จะนำไปสู่การต้อนรับนักลงทุน การท่องเที่ยว การพัฒนาเศรษฐกิจ นิคมอุตสาหกรรม การลงทุนต่างๆ ที่จะทำให้ทุกคนมีงาน ทุกคนมีเงิน และทุกคนสามารถที่จะอยู่กับเศรษฐกิจยุคทองที่จะกลับมา

ปชป.เปิดอีก 8 นโยบาย

     ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) คณะกรรมการนโยบายของพรรค นำโดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ปชป. พร้อมแกนนำพรรค ร่วมกันแถลงเปิด 8 นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ชุดที่ 2 เพิ่มเติม หลังจากเมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์เปิดนโยบายไปแล้ว 8 นโยบาย

     นายจุรินทร์กล่าวว่า นโยบายในชุดที่ 2 ประกอบด้วย 1.อินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้าน ทุกห้องเรียน 2.เรียนฟรีถึงปริญญาตรี สาขาที่ตลาดต้องการ 3.ตรวจสุขภาพฟรี รักษาฟรี โดยใช้บัตรประชาชนใบเดียว นโยบายนี้เป็นการต่อยอดในสิ่งที่ได้ทำสำเร็จมาแล้วจากสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย และต่อมาปี 53 ตนได้เป็นรมว.สาธารณสุข จึงได้ริเริ่มนโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรี 48 ล้านคน โดยไม่ต้องเสีย 30 บาท 4.ชมรมผู้สูงอายุรับ 30,000บาท ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน

     นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า 5.SME ต้องมีแต้มต่อ 3 แสนล้าน แต้มต่อที่ 1 ถ้าประชาธิปัตย์เป็นแกนตั้งรัฐบาล SME จะมีแต้มต่อทางด้านการผลิต ซึ่งจะมีการจัดการในองค์ความรู้ทุกด้าน ทั้งการผลิต ตลาด การบริหารจัดการ ระบบบัญชี ระบบภาษี แต้มต่อที่ 2 SME ควรจะได้รับโอกาสในการได้สิทธิ์เพื่อเดินหน้าเข้าสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อไป ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในอนาคต เช่น การออกงานจัดแสดงสินค้า เป็นต้น แต้มต่อที่ 3 ตั้งกองทุน 3 แสนล้านบาท เพื่อให้ SME สามารถเข้าถึงแหล่งเงิน แหล่งทุนเพื่อนำมาขยายกิจการ ต่อลมหายใจ หรือนำมาเพิ่มทุนสำหรับเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้กับประเทศต่อไปได้

     นายจุรินทร์กล่าวอีกว่า 6.ปลดล็อก กบข. และกองทุนเลี้ยงชีพ ให้ซื้อบ้านได้ หรือนำมาลดหนี้บ้าน เช่น นำมาเป็นเงินต้น เพื่อให้ยอดเงินต้นลดลง สามารถผ่อนบ้านได้ครบถ้วน และมีบ้านเป็นของตัวเองได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยทั้งข้าราชการและผู้ที่ทำประกันสังคม รวมไปถึงผู้ใช้แรงงานด้วย 7. 3 ล้านบาทต่อยอดเกษตรแปลงใหญ่ พรรคสนับสนุนและพร้อมที่จะมีเงิน 3 ล้านต่อยอดให้แต่ละกลุ่มแต่ละแปลง 8.ค่าตอบแทน อาสาสมัครเกษตรประจำหมู่บ้าน (อกม.) 1,000 บาทต่อเดือน เพื่อที่จะช่วยให้กระทรวงเกษตรฯ ได้มีอาสาสมัครที่จะเป็นผู้ไปช่วยดูข้อมูล และประสานงานลึกลงไปถึงระดับหมู่บ้าน ครัวเรือนที่ทำการเกษตร

     ที่วัดท่าหลวง อ.เมืองฯ จ.พิจิตร นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย, นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย, นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย เปิดเวทีปราศรัย

     โดย น.ส.แพทองธารให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้จะแนะนำนายเศรษฐาให้ประชาชนได้เห็น เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้มาปราศรัยร่วมกันกับทีมพรรคเพื่อไทย วันนี้มาในฐานะที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และอยู่ในทีมเศรษฐกิจด้วย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง