ภท.ยื่นยุบก้าวไกล แจ้ลุยแฉกมธ.สภา

กกต.ขีดเส้น 2 สส.ก้าวไกลโดนขับ สิงพรรคใหม่ภายใน 30 วัน “แจ้”  จุดไฟเผาพรรค ลุยแฉยับทุจริตบ่อกำจัดขยะโยงผู้ช่วยเบญจา แหกผู้นำสามกีบ  ตั้งเอง ชงเอง ใช้อำนาจเกินขอบเขต ตบหน้าฉาดใหญ่ชัยธวัช "คุกคามทางเพศ-โกง" เรื่องเนื้อเดียวกัน "มือ กม.ภูมิใจไทย"  ขึงพืดร้องสอบยุบพรรค ขุดปม "หมออ๋อง"  เทียบ 2 มาตรฐาน ชี้พิรุธสมคบคิด เจตนาลวงหวังสมประโยชน์กินรวบ 2 ตำแหน่ง  ผู้นำฝ่ายค้าน-รอง ปธ.สภาฯ 

เมื่อวันพุธ นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลมีมติขับ 2 สส.ออกจากพรรคเนื่องจากปัญหาคุกคามทางเพศว่า    จะต้องหาพรรคสังกัดใหม่ภายใน 30 วัน  ซึ่งพรรคการเมืองที่ไม่มี สส.ในปัจจุบันก็สามารถรับเข้าสังกัดได้ แต่หากไม่สามารถหาพรรคได้ จะต้องพ้นสภาพการเป็น สส. และต้องมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยเรื่องการขับเป็นเรื่องภายในพรรค ที่ต้องชอบด้วยข้อกฎหมายและข้อบังคับพรรค              

นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี อดีตสมาชิกพรรคก้าวไกล ระบุกรณีการทุจริตโรงงานกำจัดขยะว่า ในวันพุธที่ 22 พ.ย.นี้ กรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญตนไปชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เนื่องจากตนเป็นทั้งกรรมาธิการและผู้ให้ข้อมูลด้วย โดยเรื่องหลักๆ ที่จะไปชี้แจงคือเรื่องมลพิษที่เกิดขึ้นในพื้นที่ โดยเฉพาะโรงงานกำจัดขยะ และเรื่องทุจริตของผู้ช่วย สส.พรรคก้าวไกลคนดังกล่าว ซึ่งมองว่าต้นเหตุคือการให้อามิสสินจ้างกับผู้ช่วย สส. ที่ตนมีหลักฐานเยอะมาก เรื่องผู้ช่วย สส. ถ้าดูตามพยานหลักฐานมีมูลสูงมาก 95-100%

เมื่อถามถึงกรณีเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ระบุว่า น.ส.เบญจาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเพราะไม่มีหลักฐานนั้น นายวุฒิพงศ์กล่าวว่า ขอให้ดูตามไทม์ไลน์ดีกว่า เราเห็นในสื่ออยู่ว่ามีการประกาศ มีการแถลง ตนอยากให้กรณีของตนเป็นกรณีสุดท้ายในกระบวนการใช้อำนาจเกินขอบเขตเท่านั้น คนอื่นจะได้ไม่ต้องได้รับผลกระทบอีก มองกันตรงไปตรงมา จะตอบอย่างไรนายชัยธวัชก็สามารถตอบได้ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรค

เมื่อถามต่อว่า จากการแถลงของนายชัยธวัช มีการระบุในทำนองว่าอย่าเบี่ยงประเด็น เพราะหากมีทุจริตก็ไม่สามารถหักล้างเรื่องคุกคามทางเพศได้ นายวุฒิพงศ์กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องผูกพัน เป็นเรื่องมูลเหตุจูงใจในการที่เราเห็นว่า ในส่วนของตนค่อนข้างชัด ตนร้องเรื่องทุจริตไป 4 เดือนแล้ว ไม่คืบหน้าเลย แล้วก็เก็บประเด็นนี้ไว้ใต้พรม แต่ในส่วนการคุกคามทางเพศของตน เมื่อเรื่องเข้าไปที่พรรค  กระบวนการมันเดินไวมาก เร็วไปหมด

 “พอเห็นว่าจะมีบุคคลภายนอกเข้ามานั่งสอบสวน แต่จริงๆ มันไม่มี เราก็ต้องบอกว่ามันไม่มี มันเป็นเหมือนกระบวนการที่ไม่ถูกต้อง ชี้ให้เราผิดหรือเรายอมรับ เหมือนอย่างที่ผมบอกไปว่า ตั้งเอง ชงเอง มีมติเอง มันลุกับการใช้อำนาจเกินขอบเขต” นายวุฒิพงศ์กล่าว

นายวุฒิพงศ์กล่าวยืนยันด้วยว่า จะแจ้งความกลับในคดีอาญา เพราะมองว่าเรื่องคุกคามทางเพศกับเรื่องทุจริตบ่อขยะเป็นเรื่องเนื้อเดียวกันค่อนข้างชัด ซึ่งอย่างที่บอกว่าต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วน  คือส่วนของคดีอาญา ก็ต้องหาคำตอบให้กับสังคม ส่วนที่ 2 การเป็นนักการเมือง ก็ต้องมีองค์กรภายนอก อย่าง กกต.และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่สามารถเดินไปได้ ถ้ามีมูลองค์กรเหล่านี้ก็น่าจะเรียกตนไปให้ชี้แจง

 “ก็ดี จะได้เปิดเผยออกไป แต่เราก็ต้องดูด้วยว่าผลกระทบมันจะออกไปทำให้ตัวพรรคที่เคยอยู่เขาเสียหายไหม เราค่อนข้างที่เป็นกระจกสะท้อนเรื่องที่เกิดขึ้น สะท้อนถึงการทำงานที่ลุแก่อำนาจในบางเรื่อง อยากสะท้อนให้เพื่ออย่างน้อยจะได้มีการปรับปรุงในอนาคต ถึงแม้เราไม่อยู่แล้ว ก็ควรที่จะตรงไปตรงมา” นายวุฒิพงศ์กล่าว

ด้านนายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า การขับ 2 สส.ออกจากพรรคก้าวไกลแตกต่างจากกรณีการขับนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะไม่มีการดำเนินการในลักษณะเดียวกัน ดังนั้นตนจึงได้ยื่นเรื่องถึงนายทะเบียนพรรคการเมือง กกต. ขอให้ตรวจสอบการพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลของนายปดิพัทธ์ โดยขอให้นายทะเบียนพรรคการเมืองตรวจสอบว่าพรรคก้าวไกลได้ดําเนินกระบวนการทางวินัยกับนายปดิพัทธ์  ตามข้อบังคับพรรคก้าวไกล และตามกฎหมายถูกต้องครบถ้วนหรือไม่

 นายศุภชัยระบุว่า โดยส่งแถลงการณ์พรรคก้าวไกล ลงวันที่ 28 กันยายน 2566  เป็นเอกสารประกอบ ซึ่งให้นายปดิพัทธ์ ออกจากการเป็นสมาชิกของพรรคก้าวไกลโดยมิได้มีการแถลงว่ามีการกระทําความผิดวินัยร้ายแรง ตามข้อบังคับพรรคก้าวไกลข้อ 119 วงเล็บใด มีดําเนินการทางวินัยสมาชิกตามข้อบังคับพรรคก้าวไกลอย่างไร

นายศุภชัยระบุด้วยว่า อีกทั้งยังไม่ปรากฏมติของพรรคก้าวไกลด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารของพรรคก้าวไกลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 101 (9) และจากแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกล ชี้แจงในทำนองว่า นายปดิพัทธ์ลาออกโดยที่พรรคไม่ได้มีมติขับออกจากพรรคเพราะทำผิดวินัยร้ายแรง  จะส่งผลให้สมาชิกภาพความเป็น ส.ส.ของนายปดิพัทธ์สิ้นสุดลงในทันที

 “หากนายทะเบียนพรรคการเมืองตรวจสอบแล้วพรรคก้าวไกลมิได้ดําเนินการให้ถูกต้องตามข้อบังคับพรรคก้าวไกล และกฎหมาย และเป็นการสมคบคิดหรือแสดงเจตนาลวง โดยหวังผลเพื่อให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้รับตําแหน่งผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และนายปดิพัทธ์ยังคงดํารงตําแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรต่อไป อันเป็นการสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นการกระทําอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกรณีเป็นความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว ขอท่านได้โปรดยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคก้าวไกลต่อไป" นายศุภชัยระบุ 

ด้านนายแสวงกล่าวว่า ถือเป็นสิทธิ์ของผู้ที่ไปยื่นเรื่อง กกต. ทั้งนี้ การขับนายปดิพัทธ์จะผิดข้อบังคับพรรคก้าวไกลหรือไม่ อยู่ที่กฎหมายและข้อเท็จจริง ซึ่งต้องดู  เพราะทุกพรรคต้องทำตามกฎหมาย  สำหรับการขับนายปดิพัทธ์ จะถือเป็นการสมคบคิดหรือไม่นั้น กกต.ยังไม่ได้พิจารณา แต่จะพิจารณาจากข้อเท็จจริงและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

วันเดียวกัน นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ต่อกรณีพรรคก้าวไกลขับ สส. 2คนว่า ในกรณีดังกล่าวจะมีผลต่อโควตาประธานกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญ และกมธ.ประจำสภาฯ แน่นอน ที่ต้องคำนวณสัดส่วนใหม่ อย่างไรก็ดี ตนจะนำประเด็นดังกล่าวหารือกับที่ประชุมวิปรัฐบาลอีกครั้งหลังจากที่เปิดสมัยประชุมในเดือนธ.ค.นี้

"โดยขณะนี้ในโควตาของประธานกมธ.กิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน ของ รทสช. ต้องแบ่งครึ่งกับพรรคก้าวไกล หากจำนวน สส.ของพรรคก้าวไกลลดลง เป็นไปได้ว่าประธาน กมธ.กิจการศาลฯ ตามสัดส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติต้องอยู่ยาวครบเทอม สำหรับ 2 สส. หากย้ายหรือเลือกตั้งใหม่ ก็ต้องคำนวณสัดส่วน กมธ. รวมถึง ปธ.กมธ.ใหม่ ตามระเบียบของสภาฯ เช่นเดียวกัน" นายอัครเดชระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง