สภาสูงรวมพลังเปิดวอร์ถล่ม “ยุติธรรม-ดีเอสไอ” ล่อนจ้อน “ฉัตรวรรษ” อัดทฤษฎี 0 มีค่ามากกว่า 1 หวังได้ สว.มาแก้รัฐธรรมนูญ “นันทนา” ซัดคุกมีไว้ขังคนจน ยก “อากง-บุ้ง” เทียบนักโทษเทวดา “สว.บุญจันทร์” บอกใช้ปากทำงานจะพาซวย “สิทธิกร” ถามแรง “ทวี” รู้หรือไม่ในคุกมี “สมเด็จ” อำนวยความสะดวกให้นักโทษ “ชินโชติ” ด่าอย่าสะเออะ เตือนรับคดีพิเศษถือว่าก้าวก่ายเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง จับตา! เคาะ 3 รายชื่อ ป.ป.ช.ใหม่
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 มีการประชุมสมาชิกวุฒิสภา (สว.) พิจารณาญัตติเรื่องขอเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย ของ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล
พล.ต.ต.ฉัตรวรรษเสนอญัตติ โดยได้ไล่เรียงปัญหาความล่าช้าในการดำเนินการ และการเลือกปฏิบัติของกระทรวงยุติธรรมและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทั้งในคดีทุนจีนสีเทาในข้อหายาเสพติดฟอกเงิน และการมีส่วนร่วมขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การให้สิทธิ์แก่ผู้ต้องขังในการได้รักษาพยาบาล และคดีอุยกูร์ รวมทั้งคดีการฮั้วเลือก สว.
โดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษระบุว่า การได้มาของ สว.ปี 2567 รมว.ยุติธรรม อธิบดีดีเอสไอ ร่วมกันแถลงข่าวจงใจกลั่นแกล้งกล่าวหาว่าการได้มาของ สว.มีการฮั้ว เป็นอั้งยี่ และกระทำผิดฟอกเงิน และเป็นความผิดความมั่นคงของชาติ ทำให้ สว.ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถือว่าเป็นการใส่ความต่อบุคคลที่ 3 ทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งฝ่ายกฎหมายวุฒิสภากำลังพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.ต.ฉัตรวรรษกล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและอธิบดีดีเอสไอ ยังได้แถลงข่าวเป็นรายวัน เพื่อขอความชอบธรรมจากสังคม ที่จะดำเนินการสอบสวน จัดให้มีการรับเรื่องร้องเรียนเป็นรายวัน เพื่อให้เห็นว่ามีผู้ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากเป็นวงกว้างทั่วประเทศ มุ่งหวังให้สังคมเห็นว่าการได้มาของ สว.ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม การกระทำดังกล่าวมีการล็อกเป้าหมายดำเนินคดี โดยอ้างว่ามีกลุ่ม สว.138+2 ซึ่งตัวเลขนี้ก็ไม่ทราบว่าสามารถเปิดเผยหรือดำเนินคดีตามอำนาจหน้าที่ได้หรือไม่ จึงสงสัยว่าการสืบสวนสอบสวนนี้สามารถล็อกเป้ากลุ่ม สว.โดยแยกประเภทสีได้อย่างไร โดยเฉพาะการมุ่งเน้นมาที่สีน้ำเงิน
"วันนี้ผมใส่เสื้อสีน้ำเงินมาเพื่อขออภิปราย พร้อมที่จะรับแจ้งข้อกล่าวหาจากอธิบดีดีเอสไอ พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หากท่านมีพยานหลักฐานเพียงพอดำเนินการ ท่านเคยได้ยินไหมครับ 0 มีค่ามากกว่า 1 นักคณิตศาสตร์ระดับโลกยังคิดไม่ได้ แต่มีผู้นำทางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยสามารถคิดได้ ในการทำให้ 0 มีค่ามากกว่า 1 และได้จำนวน สว.เข้ามาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตรงนี้มีเพื่อนสมาชิกที่ได้ไปพักโรงแรมใกล้กับอิมแพ็ค เมืองทองธานี ได้พบเห็นการปิดห้องประชุมลับ มีผู้เข้าประชุมประมาณ 400 คน มีการแจกจ่ายเอกสารหมายเลขให้เลือก ลักษณะเช่นนี้อธิบดีดีเอสไอท่านรู้หรือไม่ ได้รับการร้องเรียนหรือไม่ ท่านพอจะมีข้อมูลทำการสืบสวนเพื่อเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ ผลสุดท้ายจากการดำเนินการก็ได้ตัวเลขออกมาที่น่าสนใจคือ 21+24 คล้ายคลึงกับตัวเลข 138+2 เพราะฉะนั้น ผมฝากปัญหาว่า 2 ตัวเลขชุดนี้ท่านอธิบดีดีเอสไอสามารถสืบสวนสอบสวนตามที่ท่านกล่าวหาเป็นการอั้งยี่ฟอกเงินหรือไม่” พล.ต.ต.ฉัตรวรรษกล่าว
ยก 'อากง-บุ้ง' เปรียบชั้น 14
ต่อมา น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. อภิปรายว่า คุกมีไว้ขังคนจนเป็นจริงหรือไม่ วิญญูชนย่อมรู้ดี และยิ่งไปกว่านั้น ความเหลื่อมล้ำในการเข้ารักษาพยาบาลของผู้ต้องขังก็ยิ่งแตกต่างกัน เหมือนอยู่กันคนละพิภพ ถ้ามีเงินมีอำนาจก็จะได้อัปเกรดเป็นเทวดาจุติมาที่วิมานชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ส่วนคนจนไม่มีอำนาจก็เป็นสัมภเวสีรอรับการรักษาอยู่แถวหน้าห้องพยาบาลในเรือนจำ ไม่ว่าจะป่วยหนักขนาดไหน
“กรณีของนายอำพล ตั้งนพกุล หรืออากง ที่ใช้เวลากว่า 1 เดือน และ 3 วัน นายอำพลถึงได้พบแพทย์ ถ้าได้ส่งตัวรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง เหมือนส่งเทวดาไปชั้น 14 นายอำพลจะรอดหรือไม่ หรือกรณี น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง ที่มีคำถามคือหากช่วยชีวิตของ น.ส.เนติพร ทำไมไม่นำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้เรือนจำ ซึ่งหากส่งไปที่โรงพยาบาลตำรวจ การฟื้นชีพอาจจะสำเร็จ หรือโรงพยาบาลตำรวจมีไว้ให้เทวดารักษาตัวเท่านั้น อาการโคม่าขนาดนี้ยังไม่ได้รับการอนุญาต ให้ไปรักษาในโรงพยาบาลภายนอกจนเสียชีวิตในที่สุด เป็นการเหลื่อมล้ำหรือไม่”
น.ส.นันทนากล่าวอีกว่า เราไม่คาดหวังว่าให้ผู้ต้องขังทุกคนต้องได้รับการรักษาที่ชั้น 14 ขอเพียงให้เขาเหล่านั้นได้เข้าถึงการรักษาตามสิทธิ์แห่งความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันเท่านั้น จึงฝากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้มอบสิทธิ์แห่งการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์ จะต้องไม่มีเทวดาหรือสัมภเวสีอีกต่อไป
จากนั้นเวลา 10.10 น. พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย สว. อภิปรายว่า พวกเรามาตามบทบาทมาตามหน้าที่ มาตามครรลองของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมาตามรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่คำกล่าวของบางท่าน เขียนป้ายใส่หน้าอกแล้วกล่าวหาว่าเป็นอั้งยี่ มันอะไรกันนักหนา มันคืออะไร คำว่าอั้งยี่ เป็นการรวมกลุ่มตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป รวมตัวกันเป็นสมาคมหรือองค์กรที่กระทำความผิดทางอาญา หากเป็นแบบนั้น ขอให้ดีเอสไอไปตรวจสอบการเลือกตั้งทั่วประเทศเลย แบบนี้มันเป็นอั้งยี่หมดทั่วประเทศ ตีความผิดหรือไม่ จินตนาการหรือไม่ว่าที่ผ่านมาเป็นอั้งยี่
“ท่านบุญส่ง สมมติว่าท่านไม่สบาย ไปโรงพยาบาล โรงพยาบาลจะมีเจ้าหน้าที่ใช่หรือไม่ อยู่ไหน อะไรยังไง ป่วยเป็นอะไร แล้วส่งต่อรายละเอียดไปให้หมอเป็นคนพิจารณาใช่หรือไม่ แต่ตอนนี้ดีเอสไอเป็นเพียงเจ้าหน้าที่เบื้องต้น แต่ประกาศปาวๆ ว่า สว.เป็นอั้งยี่ซ่องโจร คนทั้งประเทศแตกตื่นหมด ไปไหนมาไหนก็ถามหมด ชี้หน้าหมด ตอนนี้ไม่กล้าเดินแล้ว” พล.ต.ท.บุญจันทร์กล่าว
พล.ต.ท.บุญจันทร์กล่าวอย่างมีอารมรณ์ว่า เราไม่กลัวการตรวจสอบ แต่ขออนุญาต ทำงานทำหน้าที่ไป แต่อย่าเอาปากทำ อย่าพูดมาก ลิ้นมันจะพันคอท่าน สิทธิเสรีภาพของ สว.รัฐธรรมนูญเขียนไว้ป้องกันคุ้มครอง มีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว ชื่อเสียง เกียรติยศและครอบครัว
“ฝากนะครับ อธิบดีดีเอสไอและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อย่าใช้ปากทำงาน ใช้ส่วนอื่นทำ ทำหน้าที่ไป ถ้าทำไปพูดไป ความผิดจะตามมาหลายเรื่อง ตัวอย่าง หมิ่นประมาท ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าตอนนี้ สว.ทุกท่านที่นั่งอยู่ในห้องเกือบ 200 คน ถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้นมายืนปกป้องสิทธิว่าพวกเรามาโดยชอบ ตอนนี้หลาย กมธ.ลงพื้นที่ตรวจสอบทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เพื่อให้เห็นว่า สว.มีไว้ทำไม ขณะเดียวกันมีบางคนมันกระตุกขา กระตุกทำไม กระตุกเพื่ออะไร ตอนนี้เรากำลังทำทุกอย่างเดินไปด้วยดี แต่มีมารผจญบางอย่างมากระตุก มาใส่ร้ายป้ายสีพวกเราตลอดเวลา เพราะฉะนั้นทุกคนต้องลุกขึ้นมายืนหยัด” พล.ต.ท.บุญจันทร์กล่าว
ชี้กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด
ด้าน พ.ต.อ.กอบ อัจนากิตติ สว. อภิปรายว่า บริบทของดีเอสไอทำคดีอาญาทั่วไปให้เป็นคดีพิเศษ เพราะมีการครอบงำทางการเมือง เพราะมีบุคคลที่เป็นคณะกรรมการพิเศษมาจากฝ่ายการเมือง ตั้งแต่นายกฯ รมว.ยุติธรรม และผู้ทรงคุณวุฒิที่อยู่ในอำนาจแต่งตั้งโดยรัฐมนตรี เมื่อพิจารณาหลักของการทำงานฝ่ายการเมืองเข้ามาครอบงำและแทรกแซงทางการเมืองหรือไม่
“กรมสอบสวนคดีพิเศษใช้กฎหมายตามอำเภอใจ และบิดผันอำนาจมาตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน เพราะผู้ที่เป็นพ่อมดในตะเกียงวิเศษ ไม่รู้ว่าฝ่ายการเมืองคนไหนปล่อยยักษ์ตัวนี้ออกมา และมาโลดแล่นในประเทศ ทำให้ประชาชนอกสั่นขวัญแขวน ความเสมอภาค ความเท่าเทียมเป็นนามธรรม คนที่ปล่อยยักษ์ออกมาต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะดีเอสไอ ต้องรับผิดชอบ เพราะกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดมาตั้งแต่ต้น” พ.ต.อ.กอบกล่าว
ต่อมา 11.00 น. นายสิทธิกร ธงยศ สว. อภิปรายพร้อมภาพเขียนข้อความขบวนการหากินกับคุกว่า มีความไม่เท่าเทียมกันในเรือนจำ ยุคที่มี พ.ต.อ.ทวีเป็น รมว.ยุติธรรม 2 ปีปรากฏแน่ชัดว่าไม่มีจริยธรรม คุณธรรม ไม่มีความซื่อสัตย์ปรากฏในสังคมเป็นที่ยอมรับ ทั้งนี้ ได้รับข้อมูลมาจากผู้หวังดีเสนอข้อมูลราชทัณฑ์มาให้ มีตัวละครชื่อสมเด็จในกรมราชทัณฑ์และเรือนจำ โดยนักโทษที่เข้าเรือนจำ เมื่อปรับตัวได้จะมีลูกน้องเข้ามาบอกว่าจะอำนวยความสะดวกให้ และจะพาไปพบสมเด็จที่มีพรรษาในการติดคุก เป็นมือไม้ให้เจ้าหน้าที่ที่ทุจริต เช่น การร้องขอความสะดวกในการอยู่กิน ซึ่งปกติเรือนจำจะให้ญาติฝากเงินกับผู้ต้องขัง 9,000 บาท แต่หากผ่านสมเด็จ จะได้อภิสิทธิ์ฝากเงินและกินอยู่ในเรือนจำ ซึ่งมีจำนวนหลักหมื่นและหลักแสน
“นักโทษให้ญาติโอนเงินผ่านบัญชีม้าให้กับเจ้าหน้าที่ หลังจากได้รับเงินนักโทษจะได้ใช้ชีวิตประจำวัน มีกล่องนมเท่ากับเงิน 10 บาท กาแฟฟอยล์แทนเงิน 100 บาท แต่ระเบียบไม่เกิน 9,000 บาท หากผ่านสมเด็จใช้ได้ไม่อั้น และหากผ่านการอนุมัติจะเล่นพนันในเรือนจำ โดยมีนมกล่องหรือกาแฟฟอยล์ เป็นชิปเล่นพนัน และฤดูกาลย้ายแดนของนักโทษ หากผ่านสมเด็จจะได้รับการอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ไม่ต้องย้าย และหากต้องการป่วยทิพย์ ก็โอนเงินผ่านบัญชีม้า และมีการเบิกเงินสดไปดูแลเจ้าหน้าที่ให้อำนวยความสะดวกป่วยทิพย์ ซึ่งเงินหมุนเวียนสมเด็จในแต่ละแดน เฉลี่ย 10-20 ล้านบาท ขอถามว่า พ.ต.อ.ทวี เป็นความจริงหรือไม่ รวมถึงการใช้โทรศัพท์ผ่านสมเด็จจะไม่มีการกีดกัน ทั้งนี้ ที่รับข่าวสารว่ามีนักโทษเทวดาที่เข้าเรือนจำไม่กี่ชั่วโมง จะมีซูเปอร์สมเด็จจัดการจัดระบบให้ ขบวนการที่เล่ามา เรื่องสมเด็จเกิดในยุคนี้” นายสิทธิกรระบุ
จากนั้น นายชินโชติ แสงสังข์ สว. อภิปรายว่า ขอฟันธงว่า ถ้าวันที่ 6 มี.ค.นี้ ดีเอสไอรับคดีเลือก สว.มาทำ แสดงว่ามีวาระซ่อนเร้น รับใช้กลุ่มบุคคล กลุ่มการเมือง การเลือก สว.ไม่ใช่หน้าที่ดีเอสไอ แต่เป็นหน้าที่ กกต. แม้จะทำงานช้าผิดพลาด ก็ไปฟ้อง กกต.ละเลยปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 หรือกฎหมายใดได้ และที่เจ็บปวดคือ โยนข้อหาอั้งยี่ซ่องโจรให้กับกลุ่ม สว.
เดือดซัด DSI อย่าสะเออะ
“โธ่เอ๊ย โจรมีจริง อั้งยี่มีจริง โจรโซเชียลก๊องแก๊ง โจรคอลเซ็นเตอร์ คนเข้าเมืองผิดกฎหมายมีจำนวนมากที่ทำลายบ้านเมือง ประเทศชาติเสียหายเป็นแสนล้านบาท ดีเอสไอทำเรื่องนี้หรือยัง จะทำกี่โมง ถ้าการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของดีเอสไอแล้วรับทำเรื่องนี้ ก็เอายางลบลบองค์กรอิสระออกจากสารบบของประเทศไปหลายองค์กรได้เลย ต่อแต่นี้ทุกเรื่องจะวิ่งมาฟ้องดีเอสไอแล้วท่านรับทุกเรื่องหรือไม่ ถ้าท่านไม่มีอาเจนดาอะไรกับเรื่อง สว.ครั้งนี้ ผมมาจากผู้ใช้แรงงาน ต่อไปนี้ถ้ามีโกงค่าแรง โกงค่าชดเชย ผมไม่ต้องร้องกระทรวงแรงงานแล้ววิ่งไปร้องที่ดีเอสไอ ดีเอสไอเล่นเกม เล่นการเมืองมากเกินไป ดีเอสไอไม่มีหน้าที่เรื่องนี้ อย่าสะเออะ”นายชินโชติกล่าว
ขณะที่ นางอัจฉรพรรณ หอมรส สว. อภิปรายว่า การที่ดีเอสไอตั้งข้อหาอั้งยี่ซ่องโจรต่อ สว. ทำให้ประชาชนเข้าใจ สว.ผิดเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งที่มาอย่างถูกต้อง ดีเอสไอไม่สนใจกรณีกลุ่มจิตวิญญาณบางกลุ่มใช้สมการศูนย์เท่ากับหนึ่ง เผยแพร่ทางสื่อต่างๆ ได้ตรวจสอบหรือยัง เพราะเป็นกลุ่มหนึ่งได้ดำเนินการมาในรูปแบบ สว.เช่นกัน มัวแต่เน้นกลุ่ม สว.138 คน ยกตัวอย่างโพยชุดหนึ่ง ที่เมืองทองธานี ถอดตัวเลขตามโพยออกมาเป็น สว. 8 คน เป็น สว.สีขาว 7 คน ซ้ำกับ สว.สีน้ำเงิน 1 คนที่ถูกพักปฏิบัติหน้าที่ โพยนี้ยืนยันได้ มีโพย สว.ทุกคน เพราะต้องกาหลายเบอร์ จึงจำเบอร์ไม่ได้ และ กกต.เองก็แนะนำให้เขียนตัวเลขเข้าไปในห้องลงคะแนน แต่ดีเอสไอกลับเลือกปฏิบัติ
จากนั้น เวลา 12.30 น. หลังจากที่ สว.อภิปรายสนับสนุนญัตติครบถ้วนแล้ว พล.ต.ต.ฉัตรวรรษสรุปว่า การอภิปรายของ สว. ทำให้เห็นว่า รมว.ยุติธรรมและอธิบดีดีเอสไอ งานควรทำไม่ทำ กลับไปทำในสิ่งที่ไม่มีอำนาจ ซึ่งกรณีที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เตรียมพิจารณาคดีการฮั้วเลือก สว.เป็นคดีพิเศษนั้น มีข้อโต้แย้งว่าการพิจารณาดังกล่าวเข้าข่ายก้าวก่ายอำนาจของ กกต. ซึ่งการดำเนินการก้าวก่ายเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่บุคคลใดจะใช้สิทธิล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นการสอบสวนคดีฮั้ว เป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. ไม่ใช่ของดีเอสไอ ซึ่งการที่ดีเอสไอจะสอบสวนฮั้วเลือกตั้ง สว. เป็นการกระทำนอกเหนือจากอำนาจหน้าที่
“ผมขอความเห็นจากที่ประชุมส่งข้อสังเกตจากการอภิปรายที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป หรืออาจขอเปิดอภิปรายทั่วไป พ.ต.อ.ทวี กรณีผิดมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างร้ายแรง และยื่นถอดถอนต่อไป รวมถึงพิจารณาการทำหน้าที่ของอธิบดีดีเอสไอ ฐานทุจริตต่อหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย”
จากนั้น นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ฐานะประธานในที่ประชุม แจ้งต่อที่ประชุมว่า ให้สำนักงานเลขาธิการส่งข้อเสนอแนะให้ ครม.พิจารณาต่อไป และการพิจารณาญัตติดังกล่าวสำคัญและเป็นประโยชน์ จึงมอบหมายให้ กมธ.องค์กรอิสระฯ ศึกษาเพิ่มเติม และเสนอผลการศึกษาให้ สว.พิจารณาต่อไป
จับตาเคาะ 3 ป.ป.ช.ใหม่
วันเดียวกัน มีรายงานจากศาลฎีกาว่า นางชนากานต์ ธีรเวชพลกุล ประธานศาลฎีกา ในฐานะประธานคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดใหม่ ได้เรียกประชุมกรรมการฯ เพื่อลงมติคัดเลือกบุคคลเพื่อเสนอชื่อไปเป็น ป.ป.ช.ใหม่ จำนวน 3 คน เพื่อส่งให้วุฒิสภาลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ โดยที่ประชุมเลือกนายประกอบ ลีนะเปสนันท์ รองประธานศาลฎีกา อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา อดีตประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ให้ถูกเสนอชื่อเป็น ป.ป.ช.คนใหม่ แทน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ อดีตประธานกรรมการ ป.ป.ช. ที่พ้นจากตำแหน่ง และเลือกนายเพียรศักดิ์ สมบัติทอง อธิบดีอัยการภาค 2 อดีตอธิบดีสำนักงานคณะกรรมการอัยการ แทนนายวิทยา อาคมพิทักษ์ และนายประจวบ ตันตินนท์ ผู้สอบบัญชีอิสระ และอดีตผู้บริหารบริษัทมหาชน แทนนางสุวณา สุวรรณจูฑะ ที่อยู่ในตำแหน่งครบวาระ 9 ปีแล้ว โดยคาดว่าจะส่งทั้ง 3 รายชื่อก่อนปิดสมัยประชุมเดือน เม.ย.นี้.
ทั้งนี้ ป.ป.ช.ตามกฎหมายมีด้วยกัน 9 คน โดยปัจจุบันมีปฏิบัติหน้าที่อยู่ 7 ราย ซึ่งหากทั้ง 3 รายชื่อผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา ก็จะทำให้กลายเป็น 8 คน ส่วนสาเหตุที่ ป.ป.ช.จะไม่ครบ 9 คนแม้ต่อให้ สว.โหวตเห็นชอบหมดทั้งหมด เนื่องจากก่อนหน้านี้ สว.ชุดที่แล้วได้ลงมติเห็นชอบให้นายพศวัจณ์ กนกนาก อดีตประธานศาลอุทธรณ์ เป็น ป.ป.ช.คนใหม่ แทน พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งแต่สิงหาคม 2566 แต่ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่โปรดเกล้าฯ ลงมา โดยพบว่า สว.ทั้งชุดที่แล้วและชุดปัจจุบันซึ่งได้โหวตเห็นชอบให้บุคคลตามชื่อที่คณะกรรมการสรรหาฯ ส่งมา ไปเป็น ป.ป.ช. ต่างได้รับการโปรดเกล้าฯ แล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ, นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์, นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง และนายประภาศ คงเอียด
ทำให้น่าจับตาว่า สว.สีน้ำเงินที่คุมเสียงข้างมากในวุฒิสภาร่วม 160 เสียง จะโหวตเห็นชอบรายชื่อว่าที่ ป.ป.ช.ทั้ง 3 ชื่อ ที่คณะกรรมการสรรหาฯ ส่งมาหรือไม่ เพราะ 3 เสียงของ ป.ป.ช.ที่จะเข้าไป จะมีผลต่อการพิจารณาสำนวนคดี ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ ป.ป.ช.มีมติตั้งคณะกรรมการไต่สวนฯ เต็มคณะอย่างมาก โดยเฉพาะในการลงมติเอาผิด ชี้มูลความผิดผู้บริหารกรมราชทัณฑ์และเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 12 คน ที่ถูก ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการไต่สวนฯ ที่จะมีผลต่อนายทักษิณและ พ.ต.อ.ทวี รวมถึงคดีสำคัญๆ ในมือ ป.ป.ช. เช่น คดีพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. และคดี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร. ที่ถูก ป.ป.ช.ไต่สวนกรณีข้อกล่าวหาเรียกรับผลประโยชน์จากเว็บพนันออนไลน์ เป็นต้น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
แบบพระเมรุมาศเสร็จม.ค. สานพระราชปณิธานผ้าไทย
"อธิบดีกรมศิลป์" เผยแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ “พระพันปีหลวง” แล้วเสร็จ ม.ค.69
หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.
"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.


