"บิ๊กเต่า" นำทีม ป.ป.ช.-ป.ป.ท. เปิดปฏิบัติการ “สยบนาคี” จับ “พ.อ.หญิง-หมอหญิง” ตัวการทุจริตยา รพ.ทหารผ่านศึก พร้อมเครือข่ายรวม 8 ราย พบ 7 ปีทำรัฐเสียหาย 60 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม เวลา 06.00 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.), พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิ ประทุมราช ผกก.1 บก.ปปป. นำเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.1 บก.ปปป. สนธิกำลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เข้าตรวจค้นเป้าหมาย 18 จุด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ลพบุรี ปราจีนบุรี และชลบุรี เพื่อจับกุมผู้ต้องหาขบวนการทุจริตเบิกจ่ายยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึกก่อนนำไปขายต่อให้กับบุคคลภายนอก
โดยเป้าหมายสำคัญจุดแรก อยู่ที่บ้านพักของ พ.อ.หญิงกัญญารัตน์ จิตต์ประสงค์ ข้าราชการบำนาญ ในย่านเกียกกาย หลังพบพยานหลักฐานว่า พ.อ.หญิงกัญญารัตน์มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการทุจริตดังกล่าว เนื่องจาก
เป็นหัวหน้าขบวนการ ทำหน้าที่จัดหาเครือข่ายบุคคลจากจังหวัดลพบุรี เข้ามารับยาจากโรงพยาบาลทหารผ่านศึก และนำยาทั้งหมดที่ได้ให้กับแม่ทีมเครือข่ายเพื่อแลกกับค่าจ้าง ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของ พ.อ.หญิง กัญญารัตน์ พบในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี 2561-2568 มีเงินถูกโอนเข้าบัญชีรวมกว่า 40 ล้านบาท
นอกจากนี้ เป้าหมายสำคัญอีกหนึ่งจุดคือ บ้านพักของแพทย์หญิงบรินดา อุจวาที ผู้ชำนาญการ โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ย่านลาดพร้าว 71 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งผู้ต้องหาคนสำคัญของขบวนการ เนื่องจากเป็นคนทำหน้าที่สั่งจ่ายยา โดยการวินิจฉัยโรคให้เกินจากโรคที่เป็นอยู่จริงให้กับผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ป่วยที่เข้ามารับยาในขบวนการนี้
จากนั้นเวลา 15.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ, พล.ต.ต.ประสงค์, พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิ พร้อมด้วยนายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท., พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท., นายสุขสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสืบสวนสอบสวนและกิจการพิเศษ, เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), พล.อ.เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก, นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง, นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการ ปปง. ร่วมแถลงข่าวปฏิบัติการ “สยบนาคี” บุกจับแพทย์ พยาบาลทหารพร้อมพวกร่วมทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ภายหลังปฏิบัติการเข้าตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 8 ราย พร้อมเข้าตรวจค้นร้านยาที่ต้องสงสัยอีก 11 จุด
สำหรับรายชื่อผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีทั้ง 8 รายคือ พญ.หรือ น.ส.บรินดา อุจวาที อายุ 48 ปี ผู้ชำนาญการโรงพยาบาลทหารผ่านศึก, พ.อ.หรือ น.ส.กัญยารัตน์ จิตต์ประสงค์ อายุ 59 ปี, นายสมปราช เคนถาวร อายุ 49 ปี, ร.ต.หญิงภาวนา เคนถาวร อายุ 49 ปี, น.ส.สุรีย์ ถิรนุทธิ อายุ 50 ปี, นายสมพงศ์ กิจเจริญไพศาล อายุ 53 ปี, นายทินกร จันทร์เมือง อายุ 49 ปี และนางอภิญญา จรจรัส อายุ 56 ปี ตรวจยึดของกลางมา ประกอบด้วย กล่องลังที่ใช้บรรจุยา, เงินสดมูลค่า 10.9 ล้านบาท, โฉนดที่ดินที่พบในบ้านพักซอยแสงจันทร์ เขตคลองเตย, ถุงซิปล็อกใส่ยาที่มีการแกะฉลากชื่อออกแล้วจำนวนมาก, สมุดบัญชี, ถุงพลาสติกสีฟ้าที่ใช้บรรจุยาหลังนำมาพักแล้วส่งต่อไปที่จังหวัดปราจีนบุรี, ยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือดยี่ห้อ Pradaxa อีกจำนวนหลายกล่อง
พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้ ต้องขอบคุณผู้แจ้งเบาะแสคือ น.ส.พัชนีย์ ที่พบเห็นการทุจริตแล้วไม่นิ่งดูดาย ใช้ความรู้และทรัพย์สินส่วนตัวเก็บข้อมูลภาพคลิปหลักฐานทุกอย่าง ซึ่งทาง ผบช.ก.จะมอบโล่ทำความดีเพื่อสังคมให้ สำหรับผู้ต้องหากลุ่มนี้ยังเป็นแค่กลุ่มแรก ซึ่งยังมีอีกหลายกลุ่มที่มีแผนประทุษกรรมแบบนี้ เป็นขบวนการใหญ่ ทำกันหลายที่หลายโรงพยาบาล หลังจากนี้จะต้องไปตามเช็กบิล โดยตอนนี้ตำรวจได้รับข้อมูลจากกรมบัญชีกลางแล้ว กำลังตรวจสอบว่ามีใครเข้าข่ายความผิดอีก โดยหากใครรู้ตัวว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ขอให้รีบเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ ถ้าช้าจะถูกออกหมายจับ
พล.ต.ต.ประสงค์กล่าวว่า หลังมีการเปิดประเด็นเรื่องนี้ทางโซเชียลเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ทางตำรวจได้รับข้อมูลและทำการสืบสวน จนสามารถระบุตัวผู้กระทำผิดได้ทั้งหมด 12 ราย โดยออกหมายจับ 8 ราย ส่วนอีก 4 รายนั้นได้เรียกมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว
พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิกล่าวว่า คดีเริ่มขึ้นเมื่อประมาณปี 2561 โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ ได้แก่ แพทย์หญิงบรินดาที่สั่งจ่ายยา และกลุ่มผู้สนับสนุนคือ พ.อ.หญิงกัญญารัตน์ ที่ดำเนินการเกณฑ์คนผ่านแม่ทีมจากจังหวัดลพบุรี 6 ทีม รวมกว่า 600 คน ขึ้นรถตู้มาพบแพทย์หญิงที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ทุกคนมีสิทธิเบิกจ่ายตรงจากกรมบัญชีกลาง ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทนหัวละ 1,000 บาทในครั้งแรก หลังจากนั้นได้หัวละ 500 บาท และได้เปอร์เซ็นต์อีก 10% จากค่ายาที่เบิกได้ ส่วนแม่ทีมได้ค่าตอบแทนหัวละ 1,500 บาท
หลังจากรับยามาแล้วก็จะมารวมตัวกันที่ปั๊มน้ำมันข้างๆ โรงพยาบาล และนัดหมายนำยาไปส่งในที่ต่างๆ ทั้งที่พักย่านเกียกกายและคอนโดฯ ย่านพระราม 4 ของ พ.อ.หญิงกัญญารัตน์ ซึ่งใน 1 สัปดาห์แพทย์หญิงรายนี้จะลงตรวจทั้งหมด 3 วัน ดังนั้น ทุกวันอาทิตย์จะมีรถแท็กซี่มารับยาจากที่พักนำไปส่งให้นายสมปราช ที่ จ.ปราจีนบุรี ก่อนจะส่งกลับมาที่กรุงเทพฯ ให้นางสาวสุรีย์และนายสมพงศ์ ซึ่งจะกระจายยาไปตามร้านขายยา จากการตรวจค้นที่จังหวัดปราจีนบุรี ยังได้พบถุงสีฟ้าที่ใช้บรรจุยาตรงกันกับที่พบในคอนโดฯ ย่านพระโขนงและพระราม 4 ด้วย
ส่วน ภก.เลิศชายกล่าวถึงการเข้าตรวจสอบร้านขายยาทั้ง 11 ร้านว่า พบมี 5 ร้านที่ดำเนินการอย่างถูกต้อง แต่อีก 6 ร้านพบว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะรับยามาจากแหล่งที่ไม่ถูกต้อง และมีการขายยาโดยที่เภสัชกรไม่อยู่ อีกทั้งยังขายยาในกลุ่มที่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท โดย 1 ใน 6 ร้านพบสภาพไม่ได้เป็นร้านขายยา แต่เป็นตึกปิดมิดชิด และไม่มีใบอนุญาตขายยาด้วย ซึ่งจะต้องไปตรวจสอบต่อด้วยว่ายาในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทนั้นมีการนำมาจากที่ใด
นางแพตริเซียกล่าวว่า แพทย์หญิงคนนี้มีการสั่งจ่ายยาเป็นจำนวนมากที่สุดในโรงพยาบาลระหว่างปี 2560-2567 มีมูลค่าการสั่งจ่ายยา 84.7 ล้านบาท คิดเป็น 28.72% ของแพทย์ทั้งหมดในโรงพยาบาลประมาณ 100 คน หลังจากนี้จะต้องร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการไปไล่ตรวจสอบว่ามีขบวนการที่มีลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นที่ไหนบ้าง
พล.อ.เดชนิธิศกล่าวว่า ตั้งแต่ตนเข้ามารับตำแหน่ง เห็นความผิดปกติของงบการเงินของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก และพบความผิดปกติของกลุ่มคนที่มารับบริการที่มีชื่อซ้ำๆ กัน ในช่วงเวลาเดียวกันที่มีแพทย์เพียงคนเดียวเป็นผู้ตรวจ ในปีงบประมาณ 2567 จึงเข้มงวดกับเงื่อนไขการเบิกจ่ายยา ส่งผลให้งบการเงินกลับมาเป็นบวก มีกำไร 70 ล้านบาท จึงขอยืนยันว่าจะให้ความร่วมมือ ควบคุมระเบียบร่วมกับกรมบัญชีกลางไม่ให้เงินภาษีประชาชนรั่วไหลอีกแม้แต่บาทเดียว
นายภูมิวิศาลเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาแผนประทุษกรรมในการทุจริตการเบิกจ่ายยา ส่วนใหญ่จะพบผู้กระทำความผิดไม่เกินสองคน คือผู้จ่ายและผู้รับ แต่ครั้งนี้ทำกันเป็นขบวนการใหญ่ ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น โดยทาง ป.ป.ท.จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญาต่อไป
นายเทพสุกล่าวว่า หลังจากนี้จะเสนอต่อคณะกรรมการธุรกรรมให้มีมติมอบหมายในการตรวจสอบเชิงลึกอย่างเร่งด่วน ซึ่งนอกจากการยึดทรัพย์ จะทำการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินทั้งหมด โดยเฉพาะของแพทย์หญิงที่สั่งจ่ายยา ซึ่งหากพบว่าเกี่ยวข้องกับข้อหาฟอกเงิน ก็จะต้องดำเนินคดีต่อไปด้วย
พ.ต.ท.สิริพงษ์ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนเพิ่มเติมว่า ได้ดำเนินคดีเครือข่ายทั้งหมด 12 คนแล้ว ครบทั้งขบวนการแล้ว ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 12 คนให้การปฏิเสธในข้อกล่าวหาทั้งหมด ซึ่งจากขบวนการนี้ สร้างความเสียหายต่อรัฐทั้งหมด 50-60 ล้านบาท.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พสกนิกรซาบซึ้ง ‘พระพันปีหลวง’ ทรงให้ไร้ข้อแม้!
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
จับตาสว.เคาะ2ป.ป.ช. ผุดกมธ.คุ้ยชีวิต2กกต.
จับตาสภาสูงโหวต 2 ป.ป.ช.ใหม่พุธนี้ วัดใจ สว.สีน้ำเงินให้ผ่านหรือตีตกสองบิ๊กตุลาการ
คนกรุงเทพฯเอือม‘พท.’ ปชน.แชมป์โพลต่อเนื่อง
คนกรุงเอือมเพื่อไทยชัดเจน นิด้าโพลเผย “จุลพันธ์” ติดโผนายกฯ อันดับ 5
เพื่อไทยโวปักธง‘สุพรรณบุรี’
"ยศชนัน" นำทัพเพื่อไทยประเดิมหาเสียง "อยุธยา-สุพรรณฯ" ประกาศปักธงไม่สนบ้านใหญ่
ลั่น‘ไทย’เชื่อตัวเอง อนุทินกร้าวไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม/นย.เสียขารายที่8
“อนุทิน” ลั่นยังไม่ให้ประเทศไหนเข้ามาเป็นคนกลางเจรจา เป็นเรื่องระหว่างไทยกับกัมพูชาโดยตรง ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
ยึดเนิน350ได้แล้ว! ร่าง2ทหารกล้ากลับมาตุภูมิ/ส่งสัญญาณเตือนชนชั้นนำเขมร
ข่าวดี! ทหารไทยควบคุมเนิน 350 ได้แล้ว อยู่ระหว่างการสถาปนาความมั่นคง นำร่าง 2 วีรบุรุษกลับมาตุภูมิ ขณะที่กองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ ตรวจพบการปะทะเป็นระยะ

