สงครามการค้าเดือด ‘ทรัมป์’ขึ้นภาษีศุลกากร ไทยโดน37%ยอมเอาใจ

กระเทือนทั่วโลก! "ทรัมป์" เผยตัวเลขภาษีศุลกากรตอบโต้ประเทศต่างๆ ปท.คู่ค้าใกล้ชิดเชื่อเสี่ยงจุดชนวนเกิดสงครามการค้าดุเดือด "ไทย"   อ่วม เอกสารระบุโดนตั้งภาษี 37% "นายกฯ อิ๊งค์"  ลั่นไม่ต้องห่วง เตรียมแผนระยะสั้น-ยาวรับมือ  พร้อมตั้งทีมเจรจาสหรัฐ เชื่อยังต่อรองได้ ออกแถลงการณ์แนะผู้ประกอบการมองหาตลาดใหม่ด้วย "คลัง" ถกภาครัฐ-เอกชนรับมือ เล็งผ่อนปรนอุปสรรคกีดกันสหรัฐ เพิ่มยอดนำเข้าสินค้าเอาใจทรัมป์ คาด 2 สัปดาห์นำทีมบุกอเมริกา "พณ." ชี้ 15 สินค้าส่งออกอ่วมหนัก "ฝ่ายค้าน" เล็งเสนอญัตติด่วนเข้าสภาหาทางออก "เอกชน" โอดกระทบหนัก "นักวิชาการ" แนะเจรจาเร็วสุดลดความเสียหาย

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน 2568 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์  ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเกี่ยวกับภาษีศุลกากรตอบโต้ระหว่างงานอีเวนต์ที่มีชื่อว่า "Make America Wealthy Again"  ณ ทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

ทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ที่สวนกุหลาบ โดยมีฉากหลังเป็นธงชาติสหรัฐ พร้อมอ้างถึงมาตรการภาษีศุลกากรที่มุ่งลงโทษจีนและสหภาพยุโรปอย่างรุนแรงที่สุด ในวันที่เขาเรียกว่า วันปลดปล่อย (Liberation Day)

"เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ประเทศของเราถูกปล้น, ช่วงชิง, ข่มเหง และเอาเปรียบโดยประเทศต่างๆ ทั้งใกล้และไกล ทั้งมิตรและศัตรู" ทรัมป์กล่าว

นอกจากนี้ ทรัมป์โจมตีหนักหน่วงที่สุดต่อสิ่งที่เขาเรียกว่า ประเทศที่ปฏิบัติไม่ดีกับเรา โดยเรียกเก็บภาษีสูงถึง 34% สำหรับสินค้าจากจีนซึ่งเป็นคู่แข่งหลัก, 20% สำหรับพันธมิตรสำคัญอย่างสหภาพยุโรป และ 24% สำหรับญี่ปุ่น แต่ผู้นำสหรัฐวัย 78 ปี ซึ่งอวดแผนภูมิที่มีรายการภาษีต่อประเทศต่างๆ กล่าวว่า เขาใจดีมากแล้วที่เรียกเก็บเพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่ประเทศเหล่านั้นเก็บภาษีสินค้าของสหรัฐ

ทรัมป์กล่าวว่า "วันนี้คือวันปลดปล่อย และวันนี้จะถูกจดจำตลอดไปว่าเป็นวันที่อุตสาหกรรมของอเมริกาฟื้นคืนชีพ เป็นวันที่ชะตากรรมของอเมริกาถูกทวงคืน"  ทั้งนี้ ภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ที่ทรัมป์ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จะมีผลบังคับใช้ในเวลา 00.01 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันพฤหัสบดีเช่นกัน

เยอรมนีเตือนว่าสงครามการค้าจะส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่าย, อังกฤษแสดงจุดยืนอย่างแข็งกร้าว และเชื่อว่าสงครามการค้าไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งสิ้น,  ออสเตรเลียกล่าวว่าการกำหนดภาษีศุลกากรครั้งนี้ไม่สมเหตุสมผลอย่างสิ้นเชิง และจะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อความสัมพันธ์กับสหรัฐ ขณะที่สหภาพยุโรปจะตอบสนองต่อภาษีศุลกากรใหม่ของทรัมป์ก่อนสิ้นเดือนเมษายน

"หากสงครามการค้ายังคงดำเนินต่อไปจนถึงวันแรงงาน (1 กันยายน) เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้" มาร์ก แซนดี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Moody's Analytics กล่าวกับเอเอฟพี 

สำหรับประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดอยู่ในเอเชีย โดยกัมพูชาโดนไป 49%, เวียดนาม 47% และเมียนมาซึ่งกำลังยากลำบากจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง โดนไป 44% ส่วนไทยนั้นทรัมป์แถลง 36% แต่เอกสารระบุภาษีไทย 37%

ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  กล่าวถึงกรณีสหรัฐอเมริกาเคาะตัวเลขเก็บภาษีนำเข้าที่ไทยถูกตั้งภาษี 36% สูงเป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียนว่า ที่จริงแล้วเราต้องปรับโครงสร้างภาษีนำเข้ากับสหรัฐอเมริกา และตั้งคณะทำงานเรื่องการเจรจาต่อรองกับสหรัฐอเมริกา ในส่วนของการปรับโครงสร้างภาษี สินค้านำเข้าไม่ได้เป็นสินค้าที่มากมายอะไร แต่พอเก็บภาษีแพงก็ทำให้ไทยโดนเป็นอันดับต้นๆ 36% ซึ่งก็สูงพอสมควร เราจะต้องมีการเตรียมทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะสั้นต้องดูว่าเราสามารถพูดคุยเจรจาต่อรอง เพื่อช่วยผู้ประกอบการที่ส่งออก และจะเยียวยาหรือช่วยอะไรได้บ้าง ขณะนี้กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์กำลังหาข้อสรุป เพราะตัวเลข 36% เพิ่งออกมา

อิ๊งค์ตั้งทีมเจรจาภาษีสหรัฐ

"มาตรการต่างๆ ได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาก็ได้มีการพูดคุยกับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง ภายหลังมีตัวเลขออกมา แต่ก็มีการพูดคุยกันมาสักพักแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการตั้งทีมเจรจา จึงไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้" น.ส.แพทองธารกล่าว

ถามว่าตัวเลขที่ออกมาได้มีการประเมินถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับไทยมากน้อยแค่ไหนหรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เรามีมาตรการที่จะดูแลผู้ประกอบการ แต่เรื่องของความเสียหายคิดว่ายังสามารถเจรจาได้อยู่ เพราะตัวเลข 36% ยังไม่ได้เปิดใช้งาน (Activate) มีแค่การเปิดใช้งานบางหัวข้อ พอได้ตัวเลขมา ถ้ามีการต่อรองและปรับโครงสร้างภาษีให้สมเหตุสมผล ยิ่งสมัยนี้เป็นแบบไม่มากไม่น้อยเกินไป ไม่ได้เป็นแบบเดิมที่จะมาเยอะใส่กัน หรือน้อยก็ต้องน้อยทั้งคู่ เป็นเรื่องการต่อรองกัน ซึ่งอันนี้เดี๋ยวจะลงดีเทล

เมื่อถามอีกว่า จะทำให้ตัวเลขจีดีพีพลาดเป้าจากที่รัฐบาลตั้งไว้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เราต้องไม่ปล่อยให้ไปจุดนั้นที่จะทำให้จีดีพีพลาดเป้า แต่นี่เป็นตัวเลขใหม่ขึ้นมา ก็ต้องปรับ เพราะที่ผ่านมาเราได้มีการตรึงตัวเลขสินค้าทุกตัว โดยมีหัวหน้าคณะคือนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ทำเรื่องการค้าขายกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งดูทุกสินค้าที่เรานำเข้าและส่งออก ดังนั้นเร็วๆ นี้น่าจะมีมาตรการออกมา

น.ส.แพทองธารยังได้ออกแถลงการณ์ท่าทีของประเทศไทยต่อนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ตอนหนึ่งระบุว่า สำหรับประเทศไทย สหรัฐกำหนดอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทนไว้ที่ร้อยละ 36 โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.2568 เป็นต้นไป การประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าทุกรายอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ดังนั้นในระยะยาวผู้ประกอบการส่งออกไทยควรมองหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียว ซึ่งรัฐบาลไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ และได้วางมาตรการรองรับในการเยียวยาและบรรเทาผลกระทบที่อาจมีต่อผู้ประกอบการส่งออกของไทยที่มีตลาดสหรัฐเป็นตลาดหลัก

"รัฐบาลขอเรียนว่าไทยได้ส่งสัญญาณความพร้อมที่จะหารือกับรัฐบาลสหรัฐในโอกาสแรก เพื่อปรับดุลการค้าให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย โดยส่งผลกระทบต่อภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด โดยได้มอบหมายให้คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาที่แต่งตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2568 ก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชนในการติดตามและประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวต่างๆ อย่างใกล้ชิดและรอบด้าน ตลอดระยะเวลา 3 เดือน เพื่อจัดเตรียมข้อเสนอเพื่อปรับดุลการค้ากับสหรัฐ ที่มีสาระสำคัญเพียงพอให้สหรัฐมีแรงจูงใจที่จะเข้าสู่กระบวนการเจรจากับไทยที่เหมาะสม" น.ส.แพทองธารระบุ

ท้ายแถลงการณ์ระบุว่า รัฐบาลไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลสหรัฐจะมองถึงเป้าหมายการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจร่วมกันในระยะยาว ประเทศไทยยังคงยืนยันเจตนารมณ์ในการเป็นพันธมิตรและมุ่งมั่นผลักดันความร่วมมือในการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ เพื่อร่วมกันสร้างและพัฒนาภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแห่งอนาคตเพื่อตลาดโลกให้เติบโตอย่างมั่นคง

ที่กระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เป็นประธานประชุมร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อรับมือสหรัฐประกาศเก็บภาษีไทยในระดับ 36%

เพิ่มยอมนำเข้าเอาใจทรัมป์

นายพิชัยกล่าวหลังประชุมว่า แนวทางเบื้องต้นเพื่อแก้ปัญหาคือ การทำตัวเป็นคู่ค้าที่ดี โดยต้องมีการปรับสมดุลการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ ผ่านการนำเข้าวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น เพื่อส่งเสริมการส่งออกของไทย ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยทำให้ช่องว่างของตัวเลขการเกินดุลทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศลดลง โดยปัจจุบันไทยได้เปรียบดุลการค้าจากสหรัฐราวกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.3-1.4 ล้านล้านบาท ขณะที่ไทยส่งออกไปสหรัฐราวกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สะท้อนว่าไทยได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐถึง 70% จากการส่งออก โดยวิธีที่สร้างสรรค์ เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส คือไทยต้องนำเข้ามากขึ้น สำหรับสินค้า 2 ส่วนที่มีผลกับดุลการค้าได้แก่ภาคเกษตรและภาคอิเล็กทรอนิกส์

 “เราอาจถือจังหวะนี้ในการนำเข้าสินค้าเกษตรให้มากขึ้น เช่น ข้าวโพด ซึ่งก็ต้องไปดูว่าจะต้องปรับแก้เกณฑ์ตรงไหนเพื่อให้สามารถนำเข้าได้มากขึ้น โดยเมื่อนำเข้ามาแล้วก็ต้องสนับสนุนไปสู่การแปรรูปเพื่อส่งออกต่อไป อีกส่วนคือปลาทูน่า ที่ไทยเป็นผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ ตรงนี้ก็ต้องไปดูแลผู้เลี้ยงในประเทศ และทำให้มีการนำเข้ามากขึ้น โดยจริงๆ ในส่วนนี้เรามีสินค้าเกษตรอยู่ 4-5 รายการที่อยากจะทำ ก็ใช้ช่องตรงนี้นำเข้าจากสหรัฐมากขึ้นแทนการนำเข้าจากประเทศอื่น เพื่อทำให้การได้เปรียบดุลการค้าของเราลดลง” นายพิชัยกล่าว

นายพิชัยกล่าวว่า เบื้องต้นประเมินว่าหากไทยไม่เร่งดำเนินการอะไรเลย ปัญหานี้จะส่งผลกระทบทำให้ตัวเลขจีดีพีของไทยลดลงอย่างน้อย 1% ดังนั้นเมื่อทุกหน่วยงานศึกษาหามาตรการได้ข้อสรุปชัดเจน จะเริ่มนำทีมไปหารือกับสหรัฐในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า ขณะนี้ไทยต้องการส่งสัญญาณออกไปให้หอการค้าไทย-สหรัฐ และส่วนต่างๆ ของสหรัฐรับรู้ถึงแนวทางของไทยในการเจรจาทางการค้า

ที่กระทรวงพาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ไทยมีคณะทำงานที่เตรียมความพร้อมในการเจรจากับสหรัฐไว้แล้ว และมีความหวังว่าจะสามารถเจรจาต่อรองเพื่อให้สหรัฐลดภาษีลงได้ โดยไทยพร้อมเจรจากับสหรัฐตลอดเวลา รอแค่ว่าสหรัฐจะรับนัดเมื่อไร

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า อัตราภาษีที่ประธานาธิบดีสหรัฐถือเอกสารตอนแถลงข่าวอยู่ที่ 36% แต่ในเอกสารประกอบคำสั่งฝ่ายบริหารอยู่ที่ 37% แต่ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย.2568 ยังมีเวลาที่ไทยจะเจรจาต่อรองได้ โดยจะมีทีมไทยแลนด์ที่เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นหัวหน้าคณะ แต่หากมีเวลาเดินทางไป รมว.พาณิชย์จะเป็นหัวหน้าคณะไปเจรจาเอง

"ก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าถ้าสหรัฐขึ้นภาษีตอบโต้ไทย 11% จะทำให้การส่งออกของไทยได้รับผลกระทบ 7,000-8,000 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 1  ปี แต่ขณะนี้ภาษีสูงถึง 37% ก็อาจเสียหายมากกว่านี้ โดยสินค้าไทยที่จะได้รับผลกระทบมาก 15 อันดับแรก คือ 1.โทรศัพท์มือถือ 2.ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 3.ยางรถยนต์ 4.เซมิคอนดักเตอร์ 5.หม้อแปลงไฟฟ้า 6.ชิ้นส่วนอุปกรณ์การพิมพ์ 7.ชิ้นส่วนรถยนต์ 8.อัญมณี 9.เครื่องปรับอากาศ 10.กล้องถ่ายรูป 11.เครื่องปรินเตอร์ 12.วัตถุดิบอาหารสัตว์ 13.แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 14.ข้าว และ 15.ตู้เย็น

ด้านพรรคประชาชน (ปชน.) น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ปชน. พร้อมด้วยนายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรค และนายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ ร่วมกันแถลงข่าวถึงเรื่องกำแพงภาษีของสหรัฐ

น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า เรื่องแรกที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนคือ ต้องมีการเรียกร้องให้มีการทบทวนตัวเลขที่สหรัฐระบุว่าเราจัดเก็บภาษีของสหรัฐอยู่ที่ 72% โดยเร่งด่วน และต้องมีการขอร้องให้ทบทวนว่าอาจจะไม่ใช่ตัวเลขแบบนี้ก็ได้ เนื่องจากหากไปดูเรื่องดุลบริการต่างๆ อาจจะทำให้ตัวเลขการขาดดุลการค้าที่ไม่ได้ดูเฉพาะสินค้าลดลงมาได้

ถามว่าจะต้องมีการหารือเรื่องนี้ในสภาหรือไม่  น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า เราอยากให้มีการเปิดเป็นญัตติด่วนด้วยซ้ำในวันที่ 9 เม.ย.นี้ แต่ก็คงจะต้องสู้รบปรบมือกับทางฟากฝั่งของรัฐบาล เนื่องจากอย่างที่เราทราบกันดีว่าตอนนี้กำลังจะมีการเลื่อนวาระเพื่อที่จะนำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เข้ามาสู่การพิจารณาในวันที่ 9 เม.ย.

"หากเราจะนำเข้าให้เร็วที่สุด ก็คงจะต้องมีการประสานการทำงานกับคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เช่นเดียวกัน แต่ถ้าไม่ได้ ก็คิดว่าทางคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ก็คงจะรับเรื่องนี้ไปพิจารณากันต่อ" น.ส.ศิริกัญญาระบุ 

เอกชน-นักวิชาการจี้เร่งแก้ปัญหา

ด้านภาคเอกชน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ยอมรับรู้สึกประหลาดใจกับตัวเลขภาษีไทยถูกเก็บในระดับ 36% มากกว่าที่คาดการณ์เกือบ 2-3 เท่า จาก 11% ซึ่งจะมีผลกระทบราว 7-8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2-3 แสนล้านบาท ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งมาหารือ เพื่อวางแผนหามาตรการในการรับมือ แก้ไข และบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

"สิ่งที่น่ากังวลคือผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากหลายประเทศถูกปรับขึ้นภาษีในระดับที่สูงมาก เช่น จีน ที่ถูกขึ้นภาษีถึง 54% ขณะที่มีอีกหลายประเทศที่ถูกขึ้นภาษีสูงกว่าไทย ดังนั้นความน่ากลัวจากนี้คือสินค้าราคาถูกที่จะส่งออกไปยังสหรัฐไปไม่ได้ ไม่ใช่แค่จากจีนเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่มีสินค้าราคาถูกประเภทเดียวกัน เช่น เวียดนามและอินเดีย ตรงนี้อาจจะทะลักเข้ามาในประเทศไทย ดังนั้นจึงต้องมาเร่งปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ผลกระทบทางอ้อมตรงนี้เข้ามากระทบกับภาคอุตสาหกรรมของไทยที่กำลังแย่อยู่"  ประธาน ส.อ.ท.ระบุ

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การเรียกเก็บภาษีนำเข้าถึง 36% ตัวเลขผลกระทบอาจจะพุ่งสูงถึง 2-3.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะมีผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวลดลง 1-2% ดังนั้นทำให้มีความเสี่ยงที่จีดีพีปี 2568 จะโตต่ำกว่า 2% เนื่องเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก

ขณะที่ นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า แผนในการรับมือประกอบด้วยการเตรียมการเจรจา โดยอาจจะมีการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ เช่น สินค้าเกษตร และดูเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบางเรื่องที่ไทยอาจเป็นประโยชน์กับสหรัฐ เนื่องจากมีข้อตกลงให้บริษัทจากสหรัฐถือครองที่ดินได้ 100% ซึ่งเป็นประเทศเดียว อาจจะเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทย ก็จะได้ประโยน์เรื่องเทคโนโลยี รวมถึงการแก้ไขผ่อนปรนกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เพราะสหรัฐต้องการขยายอุตสาหกรรมดัวกล่าวในประเทศอื่น และต้องมีการป้องกันตัว เช่น หากเศรษฐกิจโลกถูกกระทบ ทำให้เศรษฐกิจและส่งออกไทยแย่ตามไปด้วย ดังนั้นจะต้องมีกระสุนเหมือนจีน สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อไม่ให้ชะลอตัวลงไป

ผศ.ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลไทยควรทำในเวลานี้คือการเข้าสู่การเจรจาให้เร็วที่สุด และต้องนำเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่มีน้ำหนักเพียงพอที่ทรัมป์จะพูดคุยด้วย ที่สำคัญก็คือระยะเวลาในการประสานงานเพื่อเจรจาจะมีผลอย่างมากต่อการยอมรับและเปิดใจ เพราะทรัมป์เป็นคนคิดเร็ว ตัดสินใจเร็ว ฉะนั้นความล่าช้าอาจทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่สะท้อนถึงความไม่จริงใจ และจะทำให้ไทยตกเป็นเบี้ยล่างในการเจรจาทันที.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน

ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี

อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก

นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม