
"นายกฯ อิ๊งค์" เลื่อนประชุมปราบธุรกิจผิด กม. รุดนั่งหัวโต๊ะ "สมช." ถกมาตรการชายแดนไทย-กัมพูชา ยันทุกอย่างโอเค "รัฐบาล-กองทัพ" เป็นเอกภาพ ยึดสันติวิธีมากที่สุด ให้กองทัพประเมินหน้างาน "ผบ.ทสส." บอกทหารหนุนแนวทางรัฐบาล "ภูมิธรรม” เสียงแข็งไม่ทำให้ ปท.เสียประโยชน์ ตั้งคณะ กก.เฉพาะกิจดูข้อพิพาท ลั่นเตรียมมาตรการทุกอย่างไว้แล้วหากจำเป็นต้องยกระดับ เผยคุย รมว.กลาโหมกัมพูชาเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง อึ้ง! เจอ "เขมร" ตอกหน้า ปฏิเสธคำขอถอนทหารพ้นจุดปะทะช่องบก อ้างพื้นที่ตัวเอง "พรรคการเมือง" ขยับติดแฮชแท็กไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด "ลุงป้อม" ระบุกติกาสากลมีไว้ใช้กับสุภาพบุรุษ "วุฒิสภา" เตรียมลงพื้นที่ให้กำลังใจทหารชายแดน "คปท." ประท้วงหน้าสถานทูตกัมพูชา
ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วันที่ 6 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง, นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ, พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม, พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.), นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. และหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในการพิจารณามาตรการตอบโต้ ใช้เวลากว่า 2 ชม.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เดิมนายกฯ มีกำหนดการเป็นประธานการประชุมติดตามมาตรการป้องกันปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมายที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ในเวลา 10.00 น. แต่ได้เลื่อนการประชุมดังกล่าวเป็นเวลา 11.00 น. เพื่อมาเป็นประธานการประชุม สมช.ก่อน
น.ส.แพทองธารแถลงหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้พูดคุยถึงมาตรการต่างๆ ที่พร้อมรับมือ อย่างภาพที่ออกไปเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. เห็นว่านายภูมิธรรมนำทีมกองทัพไปคุยกับทางกัมพูชา มีการคุยกันทุกอย่าง ตอนนี้โอเค และได้คุยกันว่าทุกหน่วยทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นทางกองทัพหรือรัฐบาล มาปรึกษากันก่อนดำเนินการใดๆ ตลอด และอำนาจไหนหน้าที่ไหนเป็นของใคร เราคุยกันอย่างดี และทราบในหน้าที่ของตัวเองอย่างดี
น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือความเป็นเอกภาพในการทำงานทั้งหมด ซึ่งได้คุยกับนายประเสริฐ ไม่อยากให้เกิดกระแสหรือการปลุกปั่นใดๆ ว่ารัฐบาลหรือกองทัพมีปัญหากัน จริงๆ ไม่มีปัญหาอะไรเลย มีการทำงานสนับสนุนกันอย่างดีเสมอ
"มีอำนาจหน้าที่อะไรต่างๆ ก็เคลียร์กันให้หมดว่าถึงหน้างานกองทัพสามารถตัดสินใจได้เลย เคลียร์กันในเนื้องานทั้งหมดแล้ว และในเรื่องของการเจรจาหรือรายละเอียดข้างในที่พูดคุยกัน อาจไม่ได้ลงในรายละเอียดทั้งหมด แต่ในกรอบความเข้าใจก็เกิดความเข้าใจกัน ยังไม่มีความรุนแรงที่ขยายมากยิ่งขึ้น ทางกองทัพเองก็ยืนยันในการจำกัดความรุนแรงไม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลสนับสนุน" น.ส.แพทองธารกล่าว
ถามว่า หากมีคนบุกรุกไปที่บ้านจันทร์ส่องหน้า ไปปักหลักอยู่ นายกฯ จะทำอย่างไร โดยเฉพาะพื้นที่ 200 เมตรที่มีกระแสว่ารุกล้ำมาในไทย นายกฯ มีวิธีแก้อย่างไรให้รวดเร็วกว่านี้ นายกฯ กล่าวว่า วันที่ 5 มิ.ย. มีการคุยกันแล้วในเรื่องที่คุยตกลงกัน แต่รายละเอียดทุกอย่างที่คุยเราต้องเคารพกันทั้งสองฝ่ายว่ารายละเอียดให้ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะอันนี้อยู่ในขั้นตอนการเจรจา ทราบดีว่าอยากได้เนื้อข่าว อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่ตอนนี้ที่คุยกันทั้งสองฝ่ายเป็นไปด้วยความโอเคหมด
อิ๊งค์ลั่นพร้อมรับทุกสถานการณ์
"การเจรจาและกองทัพก็ออกมายืนยันแล้วว่าเหตุการณ์ทุกอย่างเตรียมพร้อมทุกรูปแบบ สำหรับทุกๆ สถานการณ์ ซึ่งกองทัพเองทราบอยู่แล้วว่าเหตุการณ์หน้างานเป็นอย่างไร แล้วต้องปะทะหรือยัง อันนี้เป็นการตัดสินใจของกองทัพ ก็ให้หน้างานดูเลยว่ามันต้องปะทะหรือเปล่า แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องปะทะ การที่เราจะปะทะไปความเสียหายมากกว่าแรงเชียร์ที่จะให้เกิดการปะทะ ตรงนั้นต้องใช้สันติวิธีให้ได้มากที่สุด" นายกฯ กล่าว
ส่วนนายภูมิธรรมกล่าวว่า การประชุม สมช.ได้พูดคุยกันบนหลักการที่ว่าเราจะต้องยึดมั่นในหลักการปกป้องอธิปไตยของประเทศ และดำรงความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านให้เกิดประโยชน์สูงสุด เราได้พูดคุยกับทุกฝ่าย วันนี้หลักสำคัญมี 3 ด้านคือ ด้านการต่างประเทศ ด้านกองทัพ และด้านการสื่อสาร ที่ได้มีการปรับให้ชัดเจนและมาร่วมกันทำงานให้มากขึ้น
นายภูมิธรรมกล่าวว่า ในส่วนของกองทัพ ขอยืนยันเราพร้อมรักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศและบูรณภาพแห่งดินแดน อันนี้เป็นเรื่องที่ชัดเจน ซึ่งได้คุยเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว เรื่องการสื่อสารได้ตกลงกันแล้วว่ากระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพหลัก โดยประสานให้โฆษกกระทรวงกลาโหม โฆษกกองทัพบก โฆษกกระทรวงดิจิทัลฯ ทำงานร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดบรรยากาศที่จะทำให้การเจรจาหรือการหาข้อสรุปเกิดขึ้นยากลำบาก
"ขอยืนยันอีกครั้ง สมช.เราได้ตกลงและเห็นพ้องต้องกันว่า เรื่องอธิปไตยเป็นเรื่องสำคัญหลักที่เราจะต้องดูแลกันอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องอื่นๆ เราจะประคองให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีและไม่เกิดการเสียประโยชน์ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเรายังมีภาระความจำเป็นที่ต้องร่วมมือกันอีก ฉะนั้นความขัดแย้งอยากให้จำกัดวงมากที่สุด" นายภูมิธรรมกล่าว
ด้านนายมาริษกล่าวว่า ในส่วนการต่างประเทศและการทหารต้องไปด้วยกัน เป็นเนื้อเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งสองประเทศมีสัมพันธ์ที่ดีมาอย่างยาวนาน ฉะนั้นเราเห็นพ้องกันว่าการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาต้องใช้กลไกที่เรามีอยู่ในปัจจุบันเป็นหลัก คือทวิภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกันมาตั้งแต่ต้น คือใช้กลไกที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น JBC, RBC, GBC เป็นกลไกหลักอยู่ในขณะนี้ และเป้าหมายการเจรจาโดยเฉพาะยิ่งในวันที่ 14 มิ.ย. ที่จะเกิดขึ้นระหว่างคณะกรรมการร่วมของทั้งสองฝ่าย จะเน้นในเรื่องของจุดปะทะ เพื่อแก้ปัญหาการกระทบกระทั่งกัน เรื่องอื่นๆ เราจะยังไม่ให้ความสำคัญตอนนี้
"เราจะพูดถึงการแก้ไขปัญหาในเรื่องที่มีการเผชิญหน้าและลดความตึงเครียดในกรอบของกำลังทหารร่วมกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียก่อน แต่อย่างไรก็ตาม JBC มีหน้าที่อยู่แล้วที่จะเจรจาเรื่องเขตแดน เพราะฉะนั้นจะดำเนินการไปพร้อมกัน แต่สำคัญคือจะเป็นการพูดคุยเพื่อลดความรุนแรง และลดบรรยากาศที่จะมีการกระทบกระทั่งกันเป็นหลัก จึงขอเรียนว่าเราจะใช้กลไกที่มีอยู่แล้วคือทวิภาคีเป็นหลักก่อน" นายมาริษากล่าว
ส่วน พล.อ.ทรงวิทย์กล่าวว่า เรื่องแรกต้องเน้นย้ำว่า กองทัพสนับสนุนแนวทางของรัฐบาลในการแก้ปัญหาและคลี่คลายสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชาด้วยสันติวิธี เรื่องที่สอง กองทัพปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการรักษาอธิปไตยและคุ้มครองปกป้องประชาชนตามแนวชายแดน ซึ่งได้ดำเนินการมาตลอด เรื่องที่สาม วันนี้ในการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพนั้น เป็นการประชุมตามวงรอบปกติทุกสองเดือน ซึ่งในวันนี้จะมีการพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ในลักษณะสนับสนุนแนวทางของรัฐบาลและ สมช.
"การสื่อสารจะให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาล และกระทรวงกลาโหม กองทัพในฐานะผู้ปฏิบัติงานขออนุญาตสงวนการให้ข้อมูลในส่วนของข่าวประชาสัมพันธ์" ผบ.ทสส.กล่าว
ต่อมานายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงการปิดชายแดนไทย-กัมพูชาว่า เราพิจารณาทุกมาตรการ ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ทุกอย่างได้เตรียมการไว้พร้อมหมดแล้ว รอให้เกิดสถานการณ์แต่ละขั้นเราก็หยิบมาตรการมาใช้ได้ ทางกองทัพหน้างานว่าอย่างไร กระทรวงการต่างประเทศยืนยันหลักกฎหมายแล้วว่าอย่างไร ซึ่งวันนี้ได้คุยกับทุกหน่วยงานแล้ว
ภูมิธรรมย้ำยึดหลักเจรจาสันติ
ถามว่า มีการตั้งหน่วยเฉพาะกิจมาดูแลเรื่องนี้หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า มีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมาดูแลเรื่องนี้แล้ว ส่วนใครเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ ขอให้รอดูรายละเอียดที่จะออกมา ส่วนการพูดคุยเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา เราอยากจะหาทางสันติให้มากที่สุด ในภาวะขณะนี้ทุกฝ่ายไม่อยากให้เกิดสงคราม อยากให้ทำกลไกทวิภาคีหรือ JBC ซึ่งเราใช้มา 20 ปีในการแก้ปัญหาต่างๆ ก็เป็นประโยชน์มาตลอด
"ทหารก็มีหน้าที่โดยตรงที่ต้องปกป้องอธิปไตย ก็ไม่ได้วางเฉย ก็พยายามตรึงกำลัง รัฐบาลจะยึดแนวทางสันติวิธี ซึ่งได้ตกลงกันไปแล้วว่าหากวันข้างหน้ามีอะไร เราได้เตรียมการไว้หมดแล้ว ซึ่งเมื่อวาน (5 มิ.ย.) ที่เราได้คุยกันจะนำไปสู่เงื่อนไขในจุดที่ดี โดยมีการฝากให้แต่ละฝ่ายไปบอกผู้นำประเทศ ซึ่งบรรยากาศที่คุยผมคิดว่าเป็นไปด้วยดี และทุกฝ่ายมีความสบายใจ" นายภูมิธรรมกล่าว
ถามว่า ได้วางเงื่อนไขไว้รับมือหรือไม่ หากในการประชุม JBC วันที่ 14 มิ.ย.นี้ไม่มีการพูดคุยเรื่องข้อพิพาท 4 จุด นายภูมิธรรมกล่าวว่า ต้องรอให้มีการประชุมจริงๆ ก่อน เพราะเราคุยกันแล้วว่าจะคุยอะไร
ซักว่าความแข็งกร้าวของกองทัพบกจะเป็นชนวนในการรัฐประหารหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า กองทัพบกมีหน้าที่ต้องทำของตนอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกับรัฐบาล รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการรักษาประเทศ รักษาอธิปไตย ก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ย้ำว่าในยุคบิ๊กอ้วนจะไม่กังวลว่าจะมีการทำรัฐประหารใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมตอบกลับว่า ไม่มีสัญญาณเลย คุยกันดีมาตลอด
นายภูมิธรรมกล่าวถึงการปลุกระดมเรื่องความรักชาติว่า ขอให้ช่วยกันทำให้เห็นว่าการไม่เกิดสงครามเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ถ้าเราไปปลุกกับเขาด้วยก็จะยิ่งมีปัญหา
ถามว่า ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือหม่อมปลื้ม เคยระบุความสัมพันธ์ของนายทักษิณ ชินวัตร กับสมเด็จฮุน เซน เป็นจุดอ่อนของการแก้ไขปัญหาระหว่างไทยและกัมพูชา แต่นายภูมิธรรมไม่ได้ตอบคำถามและขึ้นรถกลับออกไป
อย่างไรก็ตาม ช่วงเช้านายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์ถึงการหารือกับ พล.อ.เตีย เซยฮา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมกัมพูชาเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ว่า เป็นการพูดคุยเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงด้วยความระมัดระวัง รัฐบาลไทยยืนยันไม่อยากเห็นสงคราม และเราไม่ได้กังวลหากเกิดการสู้รบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความสูญเสียที่เราไม่อยากให้ไปถึงตรงนั้น และด้วยความสัมพันธ์ที่เรามีอยู่ก็น่าจะคุยกันได้
"ผมได้ฝากไปว่าเมื่อเราเข้าใจจุดยืนของแต่ละฝ่าย ก็อยากให้เป็นการคุยกันแบบเฉพาะที่ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่เรายืนยันว่าจะไม่นำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก เพราะเราไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกตั้งแต่ปี พ.ศ.2503 ดังนั้นก็เป็นสิทธิ์ของเขา เราจำกัดเฉพาะเรื่องที่เกิดความขัดแย้ง โดยข้อเสนอผมคือให้ถอยออกไปเหมือนกับปี ค.ศ.2024 ที่เคยตกลงกันไว้ ถอยออกไปบริเวณศาลาตรีมุข เป็นจุดที่ถอยออกไปประมาณ 150-200 เมตร และในการประชุม JBC ก็ต้องนำแผนที่และเรื่องต่างๆ มาพูดคุยกัน หากสมมุติว่าติดขัดไม่สามารถตกลงได้ ก็ให้ตัวแทน JBC ลงไปดูในสถานที่เกิดเหตุเพื่อสรุป" นายภูมิธรรมกล่าว
ถามว่า การประชุม JBC ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้จะยังเดินหน้าต่อหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ยังมีเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามขณะนี้ต้องระวังเรื่องข่าว เพราะเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ตนบินไปพบฝ่ายกัมพูชาที่ค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ก็โดนทัวร์ลง บอกว่าตนไม่มีศักดิ์ศรี
"ผมว่าเลิกสิ่งเหล่านี้เถอะ เพราะมันทำให้การทำงานและแก้ปัญหายุ่งยากขึ้น ผมไม่ได้กลัวสงคราม สิ่งที่เป็นผลกระทบทั้งสองฝ่ายคนที่โดนก่อนคือทหารที่อยู่แนวหน้าและประชาชนที่อยู่ชายแดน ซึ่งเราไม่กลัวถ้ามันจำเป็นต้องเกิด แต่อย่าไปเที่ยวยุให้เกิดสงครามเลย สงครามไม่เคยดีกับใครซักคน ที่โพสต์ไปขอเป็นข้อเท็จจริงก่อน" นายภูมิธรรมกล่าว
กัมพูชาปฏิเสธถอนทหารช่องบก
เพจเฟซบุ๊ก "กระทรวงกลาโหมกัมพูชา" โพสต์เมื่อเวลา 14.20 น. ถึงการพูดคุยระหว่างนายภูมิธรรมกับ พล.อ.เตียว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะลดความตึงเครียด โดยรักษาการสื่อสาร ความเข้าใจ และการเจรจาอย่างสันติต่อไปในอนาคต เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะทางทหารระหว่างกัมพูชากับไทย
"ในส่วนของคำขอของฝ่ายไทย ให้กัมพูชาถอนทหารออกจากจุดที่ตั้งในพื้นที่มอมเตย (ช่องบก) ซึ่งเกิดการสู้รบเมื่อวันที่ 28 พ.ค.นั้น ฝ่ายกัมพูชาขอปฏิเสธที่จะทำตามคำขอดังกล่าว"
กระทรวงกลาโหมกัมพูชาบอกอีกว่า เนื่องจากจุดที่ตั้งดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ซึ่งได้ประจำการอย่างถาวรมาตั้งแต่ต้น ฝ่ายกัมพูชาไม่สามารถถอนทหารออกจากจุดที่ตั้งที่กองทัพกัมพูชาประจำการมาเป็นเวลานานและอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาได้ ตราบใดที่ฝ่ายไทยยังคงใช้แผนที่และมาตราส่วนที่แตกต่างกัน เราจะไม่สามารถหาจุดกึ่งกลางในการรักษาเสถียรภาพชายแดนได้ ฝ่ายกัมพูชายังคงยึดมั่นที่จะเคารพบันทึกความเข้าใจปี 2543 (MOU 2543) เช่นเดียวกับที่เคยทำมาในอดีต
"ดังนั้นฝ่ายกัมพูชาจึงได้ตัดสินใจเตรียมการเพื่อส่งพื้นที่พิพาททั้ง 4 แห่ง คือ มอมเตย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในกรุงเฮก เพื่อยุติข้อพิพาทและกำหนดเขตแดนที่ชัดเจน กัมพูชาตั้งใจที่จะยอมรับเฉพาะสันติภาพ เสถียรภาพ และผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ในเรื่องนี้ ฝ่ายไทยยังแสดงความเคารพต่อสิทธิของกัมพูชาในการยื่นประเด็นทั้ง 4 พื้นที่ดังกล่าวต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) นอกจากนี้ เรายังตกลงที่จะดำเนินกลไกการเจรจาต่อไปในการประชุม GBC/JBC/RBC ในประเด็นอื่นๆ ในอนาคต" เพจกระทรวงกลาโหมกัมพูชาระบุ
มีความเคลื่อนไหวจากฝ่ายการเมือง ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยนายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กแสดงจุดยืนสนับสนุนแนวทางสันติภาพของรัฐบาล ในการแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเพจพรรคเพื่อไทยก็ได้นำข้อความไปแชร์ต่อ
นายก่อแก้วระบุถึงการก่อสงครามไม่อาจนำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ พร้อมยกเหตุการณ์ปราสาทพระวิหารในอดีตเป็นบทเรียนสำคัญ มีใจความสำคัญดังนี้ "Make LOVE, Not War" ประเทศไทยเคยสูญเสียปราสาทพระวิหารให้แก่กัมพูชาเมื่อปี 2505 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่น่าเสียดายและเป็นบทเรียนเจ็บปวดที่ควรจดจำ
"การที่นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย ยืนยันจุดยืนว่าไม่ใช้กำลัง ไม่ยื่นข้อพิพาทต่อศาลโลกและให้ความสำคัญกับการเจรจา ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้วในสถานการณ์ปัจจุบัน"
ท้ายโพสต์ดังกล่าวนายก่อแก้วระบว่า ส่วนใครหรือกลุ่มใดที่พยายามปลุกกระแสชาตินิยม ยุยงให้เกิดความรุนแรง หวังผลทางการเมืองหรือมุ่งล้มล้างรัฐบาลนั้น ผมเชื่อว่าจะไม่ประสบความสำเร็จครับ
พรรคภูมิใจไทย (ภท.) แกนนำและ สส.พรรคทั้ง 69 คน อาทิ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรค, น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี โฆษกพรรค, นายภราดร ปริศนานันทกุล และนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พร้อมใจลงภาพอินโฟกราฟิก ติดแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ส่งกำลังใจถึงทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
วุฒิฯ บุกให้กำลังใจชายแดน
พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ส่งข้อความผ่านสื่อแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การรุกล้ำอธิปไตยของกัมพูชา พร้อมสะท้อนประสบการณ์ตลอดหลายทศวรรษที่เคยปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดน
พล.อ.ประวิตรระบุว่า ความมั่นคงของประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญในเชิงยุทธศาสตร์อย่างแท้จริง ขอเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนที่ชัดเจนและเด็ดขาด ไม่ยอมให้การรุกล้ำอธิปไตยถูกมองข้าม และให้ความสำคัญกับมาตรการตอบโต้ที่สมเหตุสมผล
"กติกาสากลมีไว้ใช้กับสุภาพบุรุษ และเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเจรจาด้วยความจริงใจ ก็ต้องเตรียมมาตรการเชิงรุกที่สร้างแต้มต่อให้ฝ่ายไทยได้เปรียบ ไม่หลงกล ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พร้อมเรียกร้องให้มีการสื่อสารกับประชาชนและมิตรประเทศอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดในเวทีระหว่างประเทศ" พล.อ.ประวิตรระบุ
พรรคเป็นธรรม นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวว่า หลังจากการพูดคุยจะทำอย่างไรต่อไป ต้องเตรียมพร้อมให้เสร็จ เพราะเสร็จจาก JBC แล้วจะไป คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ในวันที่ 16-20 มิ.ย.นี้ ดังนั้นรัฐบาลต้องมีโรดแมปให้ชัด
ที่รัฐสภา พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา พร้อมด้วยกรรมาธิการ ร่วมกันแถลงข่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยนายสวัสดิ์อ่านแถลงการณ์ตอนหนึ่งระบุว่า กมธ.ทหารฯ รู้สึกไม่สบายใจและรับรู้ถึงความไม่พอใจของประชาชนทั่วไป จึงขอประกาศจุดยืนถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ขอประณามการกระทำอันไร้ความจริงใจและความพยายามเอารัดเอาเปรียบของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งจากการติดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลต้องดำเนินการทุกหนทางเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก และควรแสดงความไม่พอใจในเหตุการณ์ต่างๆ ที่ฝ่ายกัมพูชากระทำแทนพี่น้องประชาชนคนไทยให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
"ในวันที่ 9-10 มิ.ย.นี้ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้รวบรวมเงินช่วยเหลือทหารในพื้นที่ โดยได้มอบหมายให้ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เดินทางไปที่บริเวณชายแดน พร้อมกับ กมธ.ทหารฯ และสมาชิกวุฒิสภาในโครงการ วุฒิสภาพบประชาชน จะเดินทางไปที่กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 แล้วไปดูสถานการณ์ในพื้นที่จริงตามแนวแดนตั้งแต่ปราสาทตาเมือนธม ผามออีแดง และช่องบก เพื่อรับทราบสถานการณ์ปัจจุบันในพื้นที่ แล้วก็ตั้งใจที่จะไปเยี่ยมบำรุงขวัญให้กับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่" พล.อ.สวัสดิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเดินทางไปครั้งนี้ ได้นำวัตถุมงคลไปแจกจ่ายให้แก่ทหารด้วย ทั้งภาพพระเครื่อง, ผ้ายันต์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ, เหรียญหลวงพ่อรวย และเตรียมมอบพระกริ่งไพรีพินาศให้ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ.ด้วย
วันเดียวกัน เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) รวมตัวกันหน้าสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย เขตวังทองหลาง กทม. เพื่อจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แสดงออกถึงความรักชาติและยืนยันจุดยืนในการปกป้องอธิปไตยของชาติ นอกจากนี้ยังเป็นการให้กำลังใจทหารไทยที่ประจำการอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งสนับสนุนการปฏิบัติงานของกองทัพเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติไม่ให้เสียไปแม้แต่ตารางนิ้วเดียว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน
ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี
นายกฯยังห่วงหาดใหญ่ ประเดิมพ.ย.เว้น‘ค่าไฟ’
"อนุทิน" รับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน นำประชาชนกลับบ้านแล้ว 90% “เท้ง” แซะบอร์ดมีไว้แค่ให้พาดหัว
อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก
นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม
พสกนิกรทั่วไทย เข้าถวายสักการะ ‘พระพันปีหลวง’
พระราชวงศ์บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ พสกนิกรทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ากราบพระบรมรูปในหลวง ร.9 และสักการะพระบรมศพ
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท


