ตอบโจทย์ภาษีทรัมป์20มิ.ย. งบ1.5แสนล.ส่อซ้ำจำนำข้าว

“แพทองธาร” นั่งหัวโต๊ะประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ เคาะงบก้อนแรก  1.15 แสนล้านบาท โครงการน้ำและคมนาคมได้เงินมากสุด 8.5 หมื่นล้านบาท "อนุทิน" เชื่อคำเตือน สตง. ของบลงท้องถิ่น ฝากถึง "มท.1" คนใหม่ดูให้ดี ระวังซ้ำรอยจำนำข้าว “ปลัดพาณิชย์"  เปิดเจรจาภาษีทรัมป์ เตรียมส่งข้อเสนอฝ่ายไทยให้สหรัฐพิจารณา 20 มิ.ย.นี้

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ   (บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ) ครั้งที่ 3/2568 โดยมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม,  นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม,  นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย, นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์,  นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายกรัฐมนตรีกล่าวก่อนการประชุมว่า  เครื่องมือที่สำคัญในการแก้ปัญหาดังกล่าวคือเงินงบประมาณ โดยเฉพาะงบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งมีอยู่จำนวน 157,000  ล้านบาท ขอให้ช่วยกันพิจารณาข้อเสนอโครงการตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฯ  อย่างรอบคอบ และปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะระเบียบปฏิบัติ ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ให้รอบคอบ ตรวจสอบได้ และไม่เกิดการทุจริต เพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจเกิดประโยชน์เต็มที่ต่อระบบเศรษฐกิจและพี่น้องประชาชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป

ต่อมาภายหลังการประชุม นายพิชัยเปิดเผยว่า บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจได้อนุมัติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนแรก วงเงินรวมทั้งสิ้น 1.15  แสนล้านบาท ตามที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเสนอ จากกรอบวงเงินทั้งหมด 1.57 แสนล้านบาท โดยจะมีการเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติต่อไปในสัปดาห์หน้า

สำหรับงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนแรก 1.15 แสนล้านบาท แบ่งเป็น 1.ด้านโครงสร้างพื้น 85,000 ล้านบาท คิดเป็น 73.7% แยกเป็นโครงการน้ำ 39,136 ล้านบาท คิดเป็น 33.9% และโครงการคมนาคม 45,864 ล้านบาท คิดเป็น 39.8% 2.ด้านการท่องเที่ยว 10,053 ล้านบาท คิดเป็น 8.7% 3.ด้านการส่งออก/ผลิตภาพ 11,122 ล้านบาท คิดเป็น 9.6% 4.ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ 9,201 ล้านบาท คิดเป็น 8% อย่างไรก็ตามในงบประมาณที่เหลืออยู่อีก 4 หมื่นล้านบาทนั้น เป็นโครงการที่มาจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยเบื้องต้นคณะอนุกลั่นกรองฯ ได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว มียอดโครงการที่ขอใช้งบประมาณมารวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมีการเรียกหน่วยงานมาหารือรายละเอียดอีกครั้งเพื่อพิจารณาโครงการ ซึ่งยังมีโครงการที่ซ้ำซ้อนและไม่สอดคล้องวัตถุประสงค์ เป็นต้น

 “หากดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงินทั้งหมด 1.57 แสนล้านบาท คาดว่าจะมีผลต่อระบบจีดีพี 0.5-0.6% แต่หากเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ 1.4 แสนล้านบาท คาดว่าจะมีผลต่อจีดีพี 0.4-0.5%” นายพิชัยระบุ

ทั้งนี้ โครงการที่คณะกรรมการฯ อนุมัตินั้น มีการกระจายการลงทุนครอบคลุมทั่วประเทศ ทุกจังหวัด และทุกอำเภอ โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนรายได้เฉลี่ยต่อคนน้อย จะได้รับเงินโครงการเข้าไปดูแลมากกว่าจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อคนมาก  นอกจากนั้นยังดูในมิติของการจ้างงาน โดยจะช่วยดูแลการจ้างงานกว่า 6-7 ล้านคน และจากวงเงินที่อนุมัติ 1.1 แสนล้านบาท เป็นสัดส่วนเงินค่าจ้างมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 30%

ด้านนายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ถึงการใช้งบ 1.57 แสนล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจว่าเป็นการดำเนินการที่เร่งด่วน สุ่มเสี่ยงที่จะเปิดช่องให้เกิดการเรียกรับผลประโยชน์ว่า ตนไม่ต้องกังวลอะไรเรื่องนี้แล้ว และเพิ่งได้รับรายงานมาเมื่อเช้า ซึ่งหาก รมว.มหาดไทยคนใหม่เข้ามาคงดูและสั่งการให้ดี เพราะจะไปซ้ำรอยที่เคยมีหนังสือเตือนโครงการเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว

เมื่อถามว่า ใช่โครงการรับจำนำข้าวหรือไม่  นายอนุทินกล่าวว่า มีหนังสือเตือนเรื่องนี้อยู่ พอมีปัญหาขึ้นมาหนังสือเตือนจะเป็นตัวชี้ว่าได้มีการเตือนแล้ว และเป็นตัวชี้ความผิดขึ้นมา ส่วนตัวคิดว่าดีที่ได้รับการเตือนมาก่อน เพื่อที่ใครเป็นผู้รับผิดชอบจะได้ระมัดระวัง ซึ่งครั้งนี้จะต้องระวังให้มาก สมัยนี้คนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงบประมาณถอนเรื่องที่ให้ อปท. ที่ได้รับอนุมัติงบประมาณวงเงิน 5.1 หมื่นล้านบาทจากงบกลางปี 68 เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี ต้องขอบคุณหน่วยงานที่มีหน้าที่เตือน

ส่วนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับเรื่องการใช้งบประมาณปี 68 ส่อขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ที่แปลงยอดชำระเงินกู้มาเป็นงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการเงินหมื่น แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็นงบจัดสรรให้โครงการต่างๆ ของ อปท.ทั่วประเทศนั้น นายอนุทินกล่าวว่า ต้องระมัดระวัง ทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายจะไม่มีอะไร เพราะหน่วยงานต่างๆ  เพียงแค่เตือนมาให้ดูแลให้ดี ไม่ได้บอกว่าโครงการที่ทำโกงแล้ว

นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา  (สว.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า ระเบิดลง! สตง.เตือน,  สำนักงบประมาณ (สงป.) ริบงบ และ ป.ป.ช. พิจารณาคดี 144 มี 3 เรื่อง 3 เหตุการณ์ที่อาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องใหญ่ระดับระเบิดลง  นอกจาก สตง.จะส่งหนังสือเตือนมายังอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว สงป.ยังส่งหนังสือไปยัง อปท.ที่ได้รับอนุมัติงบประมาณไปแล้ว ขอถอนการอนุมัติ และขอให้ทบทวนความจำเป็นในการใช้งบประมาณ

วันเดียวกัน นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะทีมเจรจาฝ่ายไทย เพื่อแก้ปัญหากรณีสหรัฐประกาศเก็บภาษีตอบโต้กับประเทศคู่ค้า (Reciprocal Tariffs) เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 07.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ตนและทีมประเทศไทยได้เริ่มต้นการเจรจากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ หลังจากที่สหรัฐตอบรับที่จะเจรจากับไทย โดยใช้เวลาประมาณ 2  ชั่วโมง เพื่อรับฟังรายละเอียดข้อเสนอของสหรัฐที่ต้องการให้ไทยพิจารณาในการแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้า ซึ่งสหรัฐได้ยื่นข้อเสนอจำนวน 5 ข้อมาให้ไทย เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา

โดยข้อเสนอทั้ง 5 ข้อ เพื่อสร้างสมดุลทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ประกอบด้วย 1.มาตรการทางภาษีและโควตา 2.มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี 3.การค้าดิจิทัล 4.แหล่งกำเนิดสินค้า และ 5.ความมั่นคงภายในประเทศและด้านเศรษฐกิจของสหรัฐ

 “ได้คุยกับผู้ช่วย USTR เป็นการทำความเข้าใจในรายละเอียดข้อเสนอที่สหรัฐส่งให้ไทย เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน และจากนี้จะนำข้อเสนอของสหรัฐมาพิจารณา และจัดทำข้อเสนอของฝ่ายไทยที่สอดคล้องกับข้อเสนอของสหรัฐ และยื่นให้สหรัฐพิจารณาในวันที่ 20 มิ.ย.นี้ โดยมั่นใจว่าข้อเสนอของไทยจะส่งผลในเชิงบวก และจะไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบ แต่จะสร้างสมดุลทางการค้าของทั้ง 2 ฝ่าย และจะเป็นการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทย” นายวุฒิไกรกล่าว

ทั้งนี้ ขั้นตอนหลังจากไทยยื่นข้อเสนอในวันที่ 20 มิ.ย.นี้แล้ว ต้องรอการนัดหมายจากสหรัฐต่อไป โดยมั่นใจว่า ข้อเสนอของไทยจะมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้สหรัฐพิจารณา และเปิดเจรจาในรายละเอียดกับไทยอีกครั้ง แต่หากเจรจาไม่ทันภายในกรอบระยะเวลา 90  วัน หรือวันที่ 8 ก.ค.2568 เชื่อว่าสหรัฐจะขยายเวลาออกไป โดยสิ่งที่คาดหวังจะได้จากการเจรจาครั้งนี้ ต้องยอมรับว่าเรื่องภาษี 0% คงเป็นไปไม่ได้ แต่อัตราภาษีไม่เกิน 10% มีความเป็นไปได้ แต่ต้องรอดูผลต่อไป 

อย่างไรก็ตาม ก่อนการเจรจากับสหรัฐตนได้ลงนามร่วมกับผู้ช่วย USTR ในความตกลงการไม่เปิดเผยข้อมูลการเจรจา โดยกำหนดต้องไม่เปิดเผยข้อมูลการเจรจาเป็นเวลานาน 4 ปี และผู้ที่มีสิทธิ์จึงจะสามารถได้รับ Username และ Password ในการเข้าสู่ชั้นข้อมูลได้ ดังนั้นจึงจะไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดข้อมูลของการเจรจาได้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ลั่น‘ไทย’เชื่อตัวเอง อนุทินกร้าวไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม/นย.เสียขารายที่8

“อนุทิน” ลั่นยังไม่ให้ประเทศไหนเข้ามาเป็นคนกลางเจรจา เป็นเรื่องระหว่างไทยกับกัมพูชาโดยตรง ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม

'อนุทิน' ขีดเส้นไม่ให้ปะทะเพิ่ม ยังไม่ให้ประเทศไหนเป็นคนกลาง

“อนุทิน” เผย ยังเข้มสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ไม่ให้ปะทะเพิ่มเติม ยัน ดูแลครอบครัวทหารเสียสละเต็มที่ ระบุ ยังไม่ให้ประเทศไหนเข้ามาเป็นคนกลาง