หนุน‘คนละครึ่ง’ กระตุ้นศก.จีดีพี เงินสะพัดแสนล.

"ม.หอการค้าไทย" เชื่อ "คนละครึ่ง"   กระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปี 68 ได้แรง-เร็ว ลุ้น  "GDP" ปีนี้โตเกิน 2.5% แนะเพิ่มเฟส 2 ชี้ใช้เงิน 2.5 หมื่นล้านบาท สามารถสร้างเงินสะพัดในระบบได้ 7 หมื่น-1 แสนล้านบาท หลังความเชื่อมั่นผู้บริโภคหดหายไปประมาณ 2 ปีครึ่ง

เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าและความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในช่วงขาลงทั้ง 2 รายการ โดยมีค่าต่ำที่สุดในรอบ 32 เดือน และ 33 เดือน ตามลำดับ เนื่องจากภาคธุรกิจกังวลเสถียรภาพการเมืองที่นายกฯ ถูกถอดถอน และปัญหาเศรษฐกิจฟื้นช้า สะท้อนจากระดับการลงทุนของภาคเอกชนในทุกจังหวัดที่ปรับตัวลดลง

โดยเดือน ส.ค. อยู่ที่ระดับ 37.5 ขณะที่การจ้างงานอยู่ที่ระดับ 38.0 ซึ่งตัวเลขที่ระดับ 30 กว่าๆ ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ดังนั้น รัฐบาลใหม่มีความจำเป็นต้องเข้ามาเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว

"เรียกได้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคหดหายไปประมาณ 2 ปีครึ่ง เหตุผลมาจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือจะมีการยุบสภาหรือไม่ รวมทั้งกังวลที่เศรษฐกิจซึมตัว และอาจจะทรุดตัวต่อ ประกอบกับมีสถานการณ์น้ำท่วม จึงทำให้ดัชนีลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7" นายธนวรรธน์ระบุ

อย่างไรก็ดี ในช่วงการสำรวจดัชนีฯ ดังกล่าว  ยังอยู่ในช่วงเดือน ส.ค.68 ที่สถานการณ์ทางการเมืองไทยมีความไม่แน่นอน เพราะเพิ่งมีเหตุการณ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ น.ส.แพทองธารพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำให้ประชาชนมีความไม่มั่นใจเสถียรภาพการเมืองไทยว่าจะมีการยุบสภาเกิดขึ้นหรือไม่ และรัฐบาลใหม่-นายกรัฐมนตรีคนใหม่มาจากพรรคการเมืองใด

ทั้งนี้ ปัญหาการเมืองที่คลี่คลายจากการที่ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ และคณะรัฐมนตรีคนนอกมืออาชีพที่จะเข้ามาดูแลเศรษฐกิจ  ทำให้เกิดกระแสเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย อาจทำให้สัญญาณดัชนีความเชื่อมั่นขาลงอาจถูกเบรก และเริ่มกลับเข้าสู่ดัชนีขาขึ้นได้ หากรัฐบาลใหม่เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยจะต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ซึ่งคาดว่ารัฐบาลใหม่น่าจะเริ่มบริหารประเทศได้ในช่วงเดือน ต.ค.นี้ และประสานไปยังหน่วยงานท้องถิ่นให้เร่งเบิกจ่าย เพื่อให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่น รวมทั้งผลักดันโครงการคนละครึ่งออกมาใช้โดยเร็ว สำหรับเฟส 1 คาดว่ารัฐบาลจะใช้งบในโครงการราว 2.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะสามารถสร้างเงินสะพัดในระบบได้ 7 หมื่น-1 แสนล้านบาท เนื่องกลุ่มผู้มีรายได้น้อยจะใช้สิทธิ์หมดทันที ขณะที่กลุ่มคนระดับปานกลางที่ประหยัดค่าใช้จ่ายจากโครงการนี้ได้ อาจจะดึงเงินออมออกมาใช้จ่ายอย่างอื่น ทำให้มีตัวทวีคูณในเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

"คนละครึ่งเฟส 1 น่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 7 หมื่น-1 แสนล้านบาท หากรวมกับการเร่งเบิกจ่ายงบปี 69 งบท้องถิ่น เชื่อว่าจะประคองเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปีนี้ให้โตได้เพิ่มขึ้นอีก 1-2% มาอยู่ที่ 2.3% และจะผลักให้จีดีพีทั้งปีนี้โตเกิน 2.5% มากกว่าเป้าคาดการณ์ที่ไว้ 2%"

นายธนวรรธน์กล่าวว่า เพื่อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่องไม่ชะงักงัน รัฐบาลควรจะเติมเงินโครงการคนละครึ่งเพิ่มอีก 2.5 หมื่นล้านบาท ในเฟส 2 รวมเป็นเม็ดเงินทั้งสิ้น 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจจะมีการโยกงบกลางเข้ามาใช้ เพราะถือว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากทำได้เชื่อว่าภายใน 4 เดือนรัฐบาลจะฟื้นเศรษฐกิจได้ ตั้งแต่ปลายปีไปจนถึงไตรมาส 1 ปีหน้า โดยจีดีพีไตรมาส 1 อาจจะโตได้ 2.5-3% มีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะรองรับการยุบสภาในช่วงต้นปีพอดี ซึ่งจะไม่กระทบกับเศรษฐกิจภาพรวม

อย่างไรก็ตาม ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปี ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจส่งออกของไทยเป็นอย่างมาก ดังนั้น อยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาดูแลความเหมาะสมของค่าเงินบาทให้อยู่ระหว่าง 32-33 บาท/เหรียญสหรัฐ เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไปได้

ส่วนนายวาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย  กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือน ส.ค.68 อยู่ที่ระดับ 50.1 โดยปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 32 เดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 44.1 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานอยู่ที่ 48.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 58.0

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนสิงหาคม 2568 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องทุกรายการ เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้  น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากสงครามการค้าของสหรัฐ และสถานการณ์ความขัดแย้ง

ระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และฟื้นตัวได้ช้า.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.