ผลโพลตอกยํ้าชัดเจน! เปิดด่านเสียมากกว่าดี

เด็ก พปชร.จี้รัฐบาลภูมิใจไทยรีบยกเลิกเอ็มโอยู 43-44 ย้ำสร้างกำแพงกั้นก่อนค่อยคุยเรื่องด่าน “สว.ตัวตึง” บอกชาวบ้านเรียกร้องเขมรจ่ายค่าชดเชยหากอยากเปิด ผลโพลตอกย้ำคนไทยส่วนใหญ่ไม่เชื่อน้ำคำผู้นำกัมพูชา ส่วนใหญ่บอกเปิดด่านมีผลเสียมากกว่าผลดี

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน 2568 พ.อ.ศิวะ หว่างอากาศ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) รายงานปฏิบัติการเก็บกู้และกวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่ภูมะเขือ ช่องอานม้า และช่องบก ในห้วงหลังประกาศหยุดยิง ว่า ได้จัด 9 ชุดปฏิบัติการ (เฟส 1) ในห้วงวันที่ 10-23 ส.ค.2568 สามารถเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลได้จำนวน 122 ทุ่น ทุ่นระเบิดต่อต้านยานพาหนะ 4 ทุ่น สรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิด จำนวน 50 รายการ สรรพาวุธระเบิดที่ถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ จำนวน 1,575 รายการ

ในห้วง 29 ส.ค.68-21 ก.ย.2568 ได้จัดชุดปฏิบัติการเพิ่ม 10 ชุด (เฟส 2) สามารถเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลได้ 227 ทุ่น สรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิด 25 รายการ สรรพาวุธระเบิดที่ถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ 467 รายการ (ยอดจำนวน ณ วันที่ 11 ก.ย.) ปฏิบัติการในพื้นที่เดียวกันกับเฟส 1

ด้านนายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงแนวคิดการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ไม่เห็นด้วย เพราะเราไว้ใจเขมรไม่ได้ และอยากให้มีการกั้นกำแพงเลย การเปิดด่านควรต้องเป็นหลังจากที่มีการกั้นกำแพงแล้ว และเราไม่ควรฟังประเทศใดๆ ที่มากดดันเรา ปัญหาอะไรที่ประเทศเหล่านั้นกังวลให้เขาไปจัดการกันเอง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของอธิปไตยของไทย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมาก

 “ก่อนเปิดด่านต้องยกเลิกเอ็มโอยู 43 และ 44 ก่อน ซึ่งเป็นเอ็มโอยูที่พรรคภูมิใจไทยเสนอในสภาแล้ว และตอนนี้พรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำรัฐบาลแล้ว ก็ต้องพิจารณาตรงนี้ก่อนเลย”

ถามว่า เมื่อเรามีรัฐบาลใหม่แล้วปัญหาไทย-กัมพูชาจะจบลงกันด้วยดีหรือไม่ นายสุรเดชกล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าเรื่องของปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาจะจบหรือไม่อย่างไร เพราะรัฐบาลมีระยะสั้นๆ แค่ 4 เดือนเท่านั้น แต่สิ่งที่มั่นใจก็คือดีกว่ารัฐบาลเก่าแน่นอน เนื่องจากรัฐบาลเก่าได้พิสูจน์ให้ประชาชนคนไทยเห็นแล้วว่าอ่อนแอมาก จนทำให้เกิดความเสียหาย เจรจาอะไรก็เสียเปรียบมาหมด เพราะฉะนั้นรัฐบาลใหม่ดีกว่ารัฐบาลเก่าแน่ เพียงแต่จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับระยะเวลา

นายอลงกต วรกี สว. กล่าวว่า ได้ลงพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา  ไปติดตามเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา พบว่ามีการเบิกจ่ายงบประมาณถูกต้องครบถ้วน แต่เงินเยียวยาที่ได้รับอาจได้ไม่ตรงกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ได้สอบถามชาวบ้านในพื้นที่ถึงการเปิดด่านไทย-กัมพูชา คนในพื้นที่ให้ข้อเสนอว่า ถ้าจะให้เปิดด่านจริง ต้องให้รัฐบาลกัมพูชาชดใช้ค่าเสียหายแก่คนไทยที่เกิดความเสียหายตามแนวชายแดนก่อน ทั้งกรณีเสียชีวิต บาดเจ็บ พิการ บ้านเรือนและสัตว์เลี้ยงที่เสียหาย ต้องได้รับการชดใช้จากกัมพูชาให้ครบถ้วนตามความเสียหายจริงที่เกิดขึ้น

“ข้อเสนอให้ทหารกัมพูชาร่วมเก็บกู้วัตถุระเบิดกับไทยนั้น เชื่อว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ชาวบ้านในพื้นที่บอกว่า ควรให้รัฐบาลกัมพูชาจ่ายค่าชดเชยการเก็บกู้วัตถุระเบิดให้รัฐบาลไทยดีกว่าให้มาเก็บกู้วัตถุระเบิดร่วมกัน”

ด้านนายสายัณห์ เมืองอินทร์ อายุ 49 ปี ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะลูกระเบิดกัมพูชาตกใส่บ้านจนพังเสียหาย กล่าวว่า ไม่อยากให้เปิดด่าน เพราะชาวบ้านที่อยู่ตะเข็บชายแดนยังเดือดร้อนอยู่หลายพื้นที่ และอยากให้เคลียร์ปัญหาชายแดนในเรื่องพื้นที่แบ่งแยกกันให้ชัดเจนก่อนแล้วถึงค่อยมาพูดถึงเรื่องเปิดด่าน แต่ถ้าเคลียร์ยังไม่เสร็จแล้วมาเปิดด่าน ก็เกิดปัญหาขึ้นอีกเหมือนเดิม

 “กัมพูชาไว้ใจไม่ได้เลย ผมไม่เชื่อใจกัมพูชา   ส่วนประเทศที่ 3 ที่จะเข้ามาขอให้เปิดด่านนั้น คิดว่าไม่สมควรที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยว ขอให้ยึดหลักประชาชนเป็นหลัก เคลียร์พื้นที่ให้เสร็จ ให้มั่นใจว่าทางฝั่งประเทศกัมพูชาจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว ไม่มาสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนชาวไทยอีก อยากให้ทั้ง 2 ประเทศ ไทย-กัมพูชา คุยและตกลงกันเอง เพราะประเทศที่ 3 ไม่ได้รู้ปัญหาของประชาชน เขาคิดแต่เรื่องผลประโยชน์เท่านั้น” นายสายัณห์กล่าว

นางกมลรัตน์ พลเศรษฐเลิศ เจ้าของปั๊มน้ำมัน ปตท.บ้านผือ ซึ่งเกิดเหตุการณ์สลดที่ถูกระเบิดถล่มภายในร้านสะดวกซื้อทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 7 ราย กล่าวเช่นกันว่า ไม่เห็นด้วย เพราะอยู่ในพื้นที่ติดชายแดนและได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งตอนนี้ทางทหารของไทยเราก็ยังคงตรึงกำลังอยู่ในแนวเขตพื้นที่ชายแดนอยู่ตลอดเวลา  เราไม่สามารถไว้ใจกัมพูชาได้เลย อยากให้คนที่เรียกร้องขอให้เปิดด่านลองมาใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ชายแดนสัก 2 สัปดาห์ มาดู จะได้รู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่าควรเปิดด่านหรือไม่ แต่ถ้าจะให้มีการเปิดด่านจริงๆ เราต้องเคลียร์พื้นที่หรือยึดคืนของเรามาให้ได้ก่อน อย่างเช่นปราสาทตาควาย พื้นที่บ้านหนองจาน

 “ถ้าประเทศที่ 3 จะคุย ต้องคุยและตกลงกับประเทศกัมพูชาให้กู้ระเบิดและถอนกำลังออกไป  และเจรจาในเรื่องเขตแดนที่กัมพูชาเข้ามายึดครองแผ่นดินไทยให้ถอยออกไป ให้ประเทศที่ 3 ไปคุยกับกัมพูชาทำตามเงื่อนไขให้ได้ก่อนถึงค่อยมาพูดเรื่องเปิดด่านกับไทย”

วันเดียวกัน ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เผยรายงานผลสำรวจเรื่อง เสียงประชาชนต่อการเปิดด่านไทย-กัมพูชา  จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ  1,158 ตัวอย่าง โดยผลสำรวจพบว่า ประชาชนเห็นข้อดีของการเปิดด่านในหลายมิติ แต่ตัวเลขส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% โดยลำดับแรกคือ กระตุ้นเศรษฐกิจชายแดนได้รับการยอมรับมากที่สุดที่ 38.9% รองลงมาคือ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม 33.4% และการเสริมสร้างสันติภาพชายแดน 32.8% ขณะที่แรงงานเข้าระบบถูกกฎหมาย 24.5% ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ประชาชนมองเห็นผลเชิงบวกในหลายมิติ แต่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อการเปิดด่านได้อย่างชัดเจน

ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพลกล่าวต่อว่า ที่น่าพิจารณาคือ ผลสำรวจแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ข้อเสียมีน้ำหนักสูงกว่าข้อดีในแทบทุกด้าน โดย 60.7%  ของประชาชนระบุว่า การเปิดด่านจะทำร้ายจิตใจคนไทย ทำลายศักดิ์ศรี เพราะยังไม่พร้อมคืนดีหรือให้อภัยในประเด็นทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์สองประเทศ ด้านเศรษฐกิจ 57.8%  กังวลว่าสินค้าราคาถูกจากกัมพูชาจะทะลักเข้าไทย ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบและเงินทุนไทยไหลออก ในมิติความมั่นคง 56.9% ห่วงปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ไทยเคยเผชิญมาแล้ว ขณะที่ 48.1% แสดงความกังวลเรื่องโรคระบาดและสุขภาพประชาชน หากระบบสาธารณสุขชายแดนไม่พร้อม

ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ยังชี้ถึงการเปรียบเทียบโดยตรงระหว่างข้อดีและข้อเสีย สะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือ 58.9% เห็นว่าข้อเสียมีมากกว่า ขณะที่เพียง 33.4% เชื่อว่าข้อดีมากกว่า และอีก 7.7% ไม่แน่ใจ ซึ่งตัวเลขนี้ยืนยันชัดเจนว่า ภาพรวมของสังคมไทยมองว่าการเปิดด่านยังมีความเสี่ยงสูงกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับ ที่น่าสนใจคือ ผลโพลย้ำให้เห็นถึงลำดับความสำคัญที่ประชาชนให้ความสำคัญ เปรียบเทียบให้เห็นระหว่างความมั่นคงของชาติกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ พบว่า 75.4% เห็นว่าความมั่นคงของชาติต้องมาก่อนการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีเพียง 24.6% ที่เห็นว่าเศรษฐกิจควรมาก่อน ตัวเลขนี้สะท้อนชัดว่า แม้เศรษฐกิจจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ประชาชนไทยให้ความสำคัญกับความมั่นคงและศักดิ์ศรีของชาติเป็นลำดับแรก

นอกจากนี้ ประชาชน 77.1% ระบุว่ามีความเชื่อมั่นน้อยถึงไม่เชื่อมั่นเลยต่อความจริงใจของผู้นำกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดน มีเพียง 12.1% ที่เชื่อมั่นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด และ 10.8% อยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งตัวเลขนี้ชี้ว่า ปัญหาความไว้วางใจต่อผู้นำประเทศเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้การเปิดด่านถูกมองในเชิงลบมากกว่าบวก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.