"เอกนิติ" ลั่น 4 เดือนเร่งยกระดับความโปร่งใส มีวินัย และมีธรรมาภิบาล เป็นปราการให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเกิดความเชื่อมั่น "วรภัค" แจง Fitch หั่นมุมมองเครดิตเป็นสัญญาณเตือน ถึงเวลารัดเข็มขัดการคลังปูพรมลดขาดดุลมุ่งโตยั่งยืน "หอการค้าไทย" เผยหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี เฉลี่ย 7.4 แสนบาท ขยายตัว 22.1% แบงก์เข้มสินเชื่อหันกู้นอกระบบเพิ่ม-NPL เสี่ยงสูง
เมื่อวันที่ 25 กันยายน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง กล่าวถึงกรณีบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch Ratings ประกาศปรับมุมมอง (Outlook) ของไทยจาก Stable เป็น Negative โดยยังคงอันดับเครดิตที่ BBB+ ว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลตระหนักและให้ความสำคัญว่าเรื่องนี้เป็นคำเตือน ดังนั้นในช่วง 4 เดือนจากนี้ อาจจะมีโครงการที่ออกมาเยอะ ทั้งหมดจะต้องอยู่ภายใต้วินัยการคลังอย่างเข้มข้น
นายเอกนิติกล่าวว่า สำหรับเรื่องฐานะการคลังซึ่งเป็นอีกประเด็นที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือให้ความสำคัญนั้น มองในระยะสั้นไม่ได้ และรัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างมาก โดยตัวเลขการขาดดุลงบประมาณที่ 3% นั้นยังเป็นเป้าหมายการทำงานในระยะยาว สิ่งสำคัญในตอนนี้ไม่ใช่แค่นโยบาย จะมุ่งไปที่การพยายามเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย จะช่วยต่อยอดในการสร้างรายได้ให้รัฐมากขึ้น ภายใต้การคำนึงถึงวินัยการคลังอย่างเข้มข้น ผ่านการใช้งบประมาณที่มีประสิทธิภาพ และตรงกลุ่มเป้าหมาย
“ได้ขอกับนายกรัฐมนตรีไว้แล้วว่า ทุกนโยบายด้านเศรษฐกิจจะต้องรักษาวินัยการคลังอย่างเข้มข้น เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นจะต้องมีธรรมาภิบาลการคลัง คือเปิดเผยรายละเอียดของแต่ละโครงการว่ามีต้นทุนเท่าไหร่ ทำแล้วเกิดประโยชน์อะไร ทุกคนจะได้เห็น และภายในเดือน พ.ย.2568 จะปรับ Medium-Term Fiscal Framework (MTFF) ครั้งใหญ่ โดยเป้าหมายคือการสร้างความมั่นใจในฐานะคนคลังทั้งชีวิต ที่จะต้องมีแผนชัดเจนในการปฏิรูปภาคการคลังว่าจะทำอะไรบ้าง ยืนยันว่าช่วง 4 เดือนนี้ต้องเร่งยกระดับความโปร่งใส มีวินัย และมีธรรมาภิบาล จะใช้หลักการนี้เป็นปราการยึดให้กับบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเพื่อสร้างความเชื่อมั่น” นายเอกนิติระบุ
ด้านนายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.การคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า เหตุผลหลักไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องความน่าเชื่อมั่นด้านการคลังและการเมือง จากตัวเลขหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นจากเดิมก่อนโควิด-19 อยู่ราว 35-36% ของจีดีพี ตอนนี้ขึ้นมาแถว 61% และคาดว่าจะไปแตะ 65% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากไม่มีการปรับลดขาดดุลอย่างจริงจัง และความไม่แน่นอนทางการเมือง จากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลและความเสี่ยงจากการเลือกตั้งใหม่ ทำให้ Fitch กังวลว่ากรอบการคลังระยะกลาง จะไม่ต่อเนื่องและไม่ชัดเจน
นอกจากนี้ เศรษฐกิจโตต่ำ ทั้งการส่งออกถูกกดดันจากภาษีสหรัฐ 19% และการท่องเที่ยวที่ฟื้นช้ากว่าคาด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ทำให้จีดีพีปี 2569 อาจโตได้เพียง 2.2%
“สิ่งสำคัญคือ รัฐบาลนี้แม้อายุเพียง 4 เดือน ก็ไม่ได้เพิกเฉย เราได้เริ่มวางแนวทาง fiscal consolidation เพื่อปรับฐานะการคลังให้กลับมาอยู่ในเส้นทางที่ยั่งยืน โดยในเดือน พ.ย.2568 เราจะเห็นการจัดทำ Medium-Term Fiscal Framework (MTFF) ฉบับใหม่ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลนี้จะวางโรดแมปชัดเจนต่อสาธารณะว่าจะปรับขาดดุลลงอย่างไร เพื่อไม่ให้หนี้หลุดพ้นจาก trajectory ที่ควบคุมได้”
สำหรับแนวคิดหลักคือ สร้างความน่าเชื่อมั่นว่าการขาดดุลจะทยอยลดลงหลังปีงบประมาณ 2569 และหนี้ต่อจีดีพีจะ stabilise ในระดับที่ไม่เกิน 65% พร้อมทั้งเพิ่มรายได้ภาครัฐและจัดลำดับรายจ่ายอย่างมีวินัย
รมช.การคลังระบุว่า มุมมอง Negative ของ Fitch ไม่ได้หมายถึงวิกฤตใกล้ตัว แต่เป็นสัญญาณเตือนว่า หากไทยไม่แสดงแผนการคลังที่ชัดเจน ความเชื่อมั่นก็จะสั่นคลอน นี่คือโจทย์ที่รัฐบาลเราต้องทำให้ได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อให้ตลาดและนักลงทุนเห็นว่าประเทศไทยยังรักษาวินัยการคลังและความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจได้
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ หั่นแนวโน้มอันดับเครดิตไทยจากมีเสถียรภาพ ลงสู่เชิงลบ ก็มาจาก 2 ประเด็นคือ 1.หนี้สาธารณะของรัฐบาล และ 2.สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทย ซึ่งไทยมีปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนสูงกว่า 80% ต่อ GDP มาเป็นเวลา 10 กว่าปี
ทั้งนี้ ถ้าในปี 68 เศรษฐกิจเติบโตได้ 2% ขึ้นไป หนี้ครัวเรือนต่อ GDP น่าจะอยู่ที่ 86% แต่ในส่วนของหนี้ครัวเรือนโดยรวม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และมีความเป็นเมืองสูงขึ้น ทำให้คนก่อหนี้ได้ง่ายขึ้น จากการที่มีระบบการผ่อนชำระที่ดีขึ้น รวมถึงการตลาดผ่อน 0% ส่งผลให้ปี 68 หนี้ต่อครัวเรือนสูงถึง 7.4 แสนบาท โดยส่วนใหญ่เกิดจากการซื้อทรัพย์สิน ซึ่งไม่ได้ผิดปกติอะไร แต่การขยายตัวของการก่อหนี้สูงถึง 22% ซึ่งสูงสุดในรอบ 4 ปี
นายธนวรรธน์ระบุว่า หนี้ครัวเรือนที่เป็นหนี้นอกระบบเศรษฐกิจมีสัดส่วนมากขึ้น สะท้อนว่าการปล่อยสินเชื่อในระบบเริ่มตึงตัว อัตราการขยายตัวของสินเชื่อยังติดลบต่อเนื่อง และติดลบมาอย่างน้อยแล้ว 3-4 ไตรมาส ชี้ให้เห็นว่าในระบบเต็มแล้วคนจึงต้องไปกู้นอกระบบ จึงเป็นนัยสำคัญว่าเศรษฐกิจเริ่มมีอุปสรรคที่ธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อ สินเชื่อขยายตัวติดลบทั้งแผง
"หนี้มีการขยายตัวติดลบมาตลอด ในไตรมาส 2/68 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ยังรายงานการขยายตัวติดลบของหนี้ ชัดเจนว่าการปล่อยสินเชื่อชะลอลง และสัญญาณ NPL น่าจะสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจมีอุปสรรคที่กำลังซื้อของประชาชนไม่มี รายได้ของภาคธุรกิจชะลอลง ปัญหาเลยวนไปมา" นายธนวรรธน์กล่าว
นายธนวรรธน์กล่าวอีกว่า สถานการณ์เศรษฐกิจเป็นตัวบ่งชี้ของสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่แย่ลง ขณะที่ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้คือค่าครองชีพไม่สอดคล้องกับรายได้ รองลงมาคือราคาพืชผลทางการเกษตรต่ำ และสภาพคล่องของธุรกิจ/ครัวเรือน
"สิ่งที่รัฐบาลตั้งใจและดำเนินการแก้ไข คือจะต้องเพิ่ม GDP ให้เกิดขึ้นอย่างทันท่วงทีและรวดเร็ว โดย ม.หอการค้าไทยสนับสนุนนโยบายคนละครึ่ง เพราะเชื่อว่าการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนจะถูกกระตุ้นอย่างคึกคัก หากมีการใช้งบประมาณในวงเงิน 5 หมื่นล้านบาทขึ้นไป ก็น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ปีนี้ขยายตัวได้เกิน 2%" นายธนวรรธน์กล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน
ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี
นายกฯยังห่วงหาดใหญ่ ประเดิมพ.ย.เว้น‘ค่าไฟ’
"อนุทิน" รับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน นำประชาชนกลับบ้านแล้ว 90% “เท้ง” แซะบอร์ดมีไว้แค่ให้พาดหัว
อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก
นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม
พสกนิกรทั่วไทย เข้าถวายสักการะ ‘พระพันปีหลวง’
พระราชวงศ์บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ พสกนิกรทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ากราบพระบรมรูปในหลวง ร.9 และสักการะพระบรมศพ
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท


