แบงก์ชาติคาด คนละครึ่งพลัส ดันเศรษฐกิจพุ่ง

"แบงก์ชาติ" คาดเศรษฐกิจไทยปี 68 โต 2.2% ลุ้นไตรมาส 4 ได้อานิสงส์โครงการ "คนละครึ่งพลัส-เที่ยวดีมีคืน" ฟื้นกำลังซื้อ หนุนจับจ่ายใช้สอยคึกคัก ดันจีดีพีโตทะลุ 1.3%     พร้อมคาดเงินเฟ้อไทยปีนี้ 0.0% การันตียังไกลภาวะเงินฝืด รัฐบาลเปิดให้ฟู้ดเดลิเวอรีเชื่อมคนละครึ่งพลัส

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม น.ส.ปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค  ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า   ธปท.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้ 2.2% และยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องไปถึงปี 2569 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.6%  โดยช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3% ซึ่งเป็นผลมาจากการเร่งผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นก่อนที่สหรัฐจะมีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มชะลอลงจากภาคการผลิต และภาคการส่งออกที่เริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐ

ทั้งนี้ คาดว่าในไตรมาส 3/2568 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 1.5% และไตรมาส 4/2568 จะขยายตัวได้ 1.3% โดยในช่วงไตรมาส 4 นั้น จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเข้ามาช่วยเพิ่มบรรยากาศการบริโภค การจับจ่ายใช้สอย และการท่องเที่ยวในประเทศได้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งพลัส และโครงการเที่ยวดีมีคืน ซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่มตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ได้ 0.2-0.3% และเป็นผลทำให้เศรษฐกิจในไตรมาส 4 ขยายตัวได้ 1.3%

"มาตรการภาครัฐเข้ามาช่วย ซึ่งมีผลมากในช่วงไตรมาส 4 ที่เริ่มต้นใช้มาตรการ โดยเป็นการช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชน ทำให้แนวโน้มในตลาดเริ่มคึกคักขึ้น ทั้งฝั่งพ่อค้าแม่ค้าและประชาชน ช่วยสร้างความหวังให้เศรษฐกิจไทยได้" น.ส.ปราณีระบุ

สำหรับภาคการท่องเที่ยวนั้น มองว่ามีแนวโน้มจะทยอยฟื้นตัว โดยนักท่องเที่ยวระยะไกลยังขยายตัวได้ ประกอบกับนักท่องเที่ยวจีนเริ่มทยอยกลับมา โดยคาดว่าทั้งปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยจะอยู่ที่ 33 ล้านคน คิดเป็นรายรับ 1.4 ล้านล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีน ราว 4.4 ล้านคน ส่วนปี 2569 คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านคน คิดเป็นรายรับ 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีน 6 ล้านคน

นอกจากนี้ มีข้อมูลความเห็นจากผู้ประกอบการท่องเที่ยว คาดว่านักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4/2568 ซึ่งมีสัญญาณการฟื้นตัวจากนักท่องเที่ยวจีน และผลจากการแก้ปัญหาด้านภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทย อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า ซึ่งจะส่งผลให้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวลดลง และกดดันต่อความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการประกอบธุรกิจมากขึ้น

ด้านนายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท.ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในปีนี้ จะอยู่ที่ 0.0% ส่วนปี 2569 อยู่ที่ 0.5% และปี 2570 อยู่ที่ 1% โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงไตรมาส 2/2569 และกลับเข้าสู่ขอบล่างของเป้าหมายนโยบายการเงินที่ระดับ 1-3% ได้ในช่วงปี 2570 ส่วนความกังลว่าความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ยังคงอยู่ในระดับต่ำ

เนื่องจาก 3 สาเหตุสำคัญคือ 1.การที่อัตราเฟ้อต่ำในปัจจุบัน เป็นผลจากราคาสินค้าที่ลดลงเพียงบางหมวด เช่นกลุ่มพลังงานและอาหารสด (ผัก-ผลไม้) ในขณะนี้ราคาสินค้ากลุ่มอื่น ไม่ได้ปรับลดลงต่อเนื่องและในวงกว้าง 2.เครื่องชี้แรงกดดันด้านราคา ที่สะท้อนแนวโน้มเงินเฟ้อยังทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับอดีต และ 3.เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3%

 “การที่องค์ประกอบของตะกร้าเงินเฟ้อไทยมีสัดส่วนของสินค้ากลุ่มพลังงานและอาหารในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น จึงเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ทำให้เงินเฟ้อไทยต่ำ นอกจากนี้ ราคาสินค้าหมวดอาหารของไทยก็อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับต่างประเทศ อีกทั้งแนวโน้มราคาพลังงานไม่เร่งตัวขึ้นมาก ประกอบกับไทยมีมาตรการอุดหนุนราคาพลังงานในบางช่วง” นายสุรัชระบุ

วันเดียวกัน น.ส.ปราณี สุทธศรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เพื่อขยายผลการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน รัฐบาลได้เปิดให้บริการ “ฟู้ดเดลิเวอรี” เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งอย่างเป็นทางการ โดยประชาชนสามารถใช้สิทธิร่วมจ่ายผ่านระบบเดิมได้ทันที ซึ่งกลไกการใช้งานจะดำเนินการผ่าน G-Wallet ซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับแอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรีที่เข้าร่วมโครงการ โดย G-Wallet จะปรากฏเป็นหนึ่งในช่องทางชำระเงิน (payment method) ในระบบของแอปเดลิเวอรีโดยอัตโนมัติ ทำให้ประชาชนสามารถเลือกใช้สิทธิคนละครึ่งได้สะดวก ไม่ต้องสลับแอปหรือดำเนินการเพิ่มเติม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง