นายกฯ ลั่นร่วมเวทีสุดยอดผู้นำอาเซียน 26 ต.ค. ไม่กลับมือเปล่า ย้ำลงนามแนวทางสู่สันติภาพ "ไทย-กัมพูชา" ยึด 4 เงื่อนไขหลัก ยึดผลประโยชน์ชาติ เกียรติภูมิและอธิปไตยไทยต้องมาก่อน "สีหศักดิ์" อยากเห็นข้อตกลงที่ปฏิบัติจริง ไม่ใช่เอกสารฉบับหนึ่ง "โฆษก รบ." ปัดข่าวนายกฯ เขมรอ้าง 2 ชาติตกลงใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่จริง ยันไม่เคยหารือ "4 เหล่าทัพ" พร้อมรักษาอธิปไตยไทยตามแผนจักรพงษ์ภูวนารถ "อนุทิน" นำทีมหารือ "กกต." ถกปมทำประชามติแก้ รธน. พ่วงยกเลิก MOU 43-44 วันเลือกตั้ง "อิทธิพร" คาดใช้งบเฉียดหมื่นล้าน
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 24 ต.ค.2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงการเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย วันที่ 26 ต.ค.นี้ ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะเดินทางไปร่วมด้วย และมีข่าวไทยจะเซ็นข้อตกลงการค้ากับสหรัฐว่า ยังครับ การประชุมครั้งนี้ดี ถ้าเทียบกับสมัยที่แล้วมา ตนได้รับรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศว่ามีผู้นำหลายชาติที่จะมาพบกับตนในฐานะผู้นำของประเทศไทย ที่จะหารือร่วมกันในมิติต่างๆ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ความมั่นคง การเมือง และการค้า
"เราจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด มีการเตรียมตัว เตรียมข้อมูล ประเด็นในการหารือ เพื่อเจรจากับพวกเขาโดยไม่กลับมามือเปล่าแน่นอน" นายอนุทินกล่าว
ถามว่า ในการประชุมสุดยอดอาเซียน จะมีการลงนามร่างประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ณ ขณะนี้ยังมีอยู่ เพราะผู้ที่ดำเนินการได้ประชุมกันมาเป็นลำดับสืบเนื่องกันมาของระดับเจ้าหน้าที่ระดับสูง โดยมีการตกลงใน 4 ข้อหลัก ซึ่งเราได้รับการยืนยันจากคู่สัญญาของเราแล้วว่าก็เป็นไปตามนั้น
"ผมขอเรียนผ่านผู้สื่อข่าวไปยังประชาชน เราไม่ได้เซ็นกับข้อความในโซเชียล เราเซ็นกับข้อความที่ปรากฏในเอกสารที่จะมีการลงนามกันระหว่างผู้นำสองประเทศ ฉะนั้นสิ่งที่จะถูกใช้และอ้างถึงที่จะต้องนำไปปฏิบัติจะต้องอยู่บนเอกสารที่เป็นทางการ ไม่ใช่เอกสารที่มาจากที่ไหนไม่รู้ ยืนยันไม่ได้ ซึ่งเอกสารที่เป็นทางการพวกเราต้องดูแล้วดูอีก ไม่ใช่ตกลงกันแล้วโอเคกันหมด มาถึงบนโต๊ะผู้นำต้องดูอีก หากจะต้องมีการแก้ไขต้องแจ้งกันไป อยู่ในเงื่อนไขต่างๆ ที่ไทยไม่เสียเปรียบ ไม่เสียเกียรติภูมิ และไม่เสียอธิปไตย" นายกฯ กล่าว
ต่อมานายอนุทินให้สัมภาษณ์อีกครั้งที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ถึงการลงนามข้อตกลงจีบีซีที่กัมพูชายอมรับเงื่อนไข 4 ข้อว่า ให้ดำเนินการไปทีละขั้นตอน หวังว่าในการประชุมอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย ที่มีการกำหนดให้ลงนามในถ้อยแถลงเพื่อจะนำไปสู่การปฏิบัติใน 4 ข้อ หากตกลงกับกัมพูชาได้ ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ผ่านการประชุมเจบีซีและจีบีซี ก็จะนำไปสู่การลงนามในถ้อยแถลงได้
ซักว่า ในการประชุมเจบีซีกัมพูชาขอให้ใช้คำว่าปรับการถือครองที่ดินแทนการรื้อถอน จะมีผลในภายหลังหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ผู้ไปเจรจาได้ข้อสรุปต่างๆ ยึดผลประโยชน์ เกียรติภูมิ และอธิปไตยของไทย ประโยชน์ของประชาชนไทยเป็นเป้าหมายสูงสุด ทุกอย่างเป็นความต่อเนื่อง
"เจบีซีเกี่ยวกับการบริหารสถานการณ์เขตแดนต่างๆ ซึ่งได้มีข้อตกลงไว้แล้วว่าใครจะทำอะไร ส่วนจีบีซีจะเน้นในเรื่องปฏิบัติที่ฝ่ายกัมพูชาจะปฏิบัติเมื่อมีการลงนามตามเงื่อนไข 4 ข้อ คิดว่าเป็นเวลาเหมาะสมที่จะลงนาม เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินงาน ไม่ได้คุยกัน 2 คน แต่มีผู้นำประเทศต่างๆ เป็นสักขีพยานด้วย" นายกฯ กล่าว
ในช่วงเย็น นายอนุทินกล่าวอีกครั้งในการพบปะกลุ่มสตรีแม่บ้าน อบจ.กระบี่และ อสม.จังหวัดกระบี่ ถึงสถานการณ์การสู้รบกับประเทศเพื่อนบ้านว่า น่าจะมีข้อสรุปที่ทำให้ประเทศไทยไม่มีการเสียดินแดน และไม่เสียเกียรติภูมิแม้แต่ตารางนิ้วเดียว และต้องไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อของพี่น้องทั้งนั้น เขาจะต้องถอนอาวุธถอนกับระเบิดออกไป และเขาต้องใช้วิธีการทั้งหลายที่จะต้องปราบปรามคอลเซ็นเตอร์แก๊งหลอกลวงประชาชน แล้วเราก็จะรักษาแผ่นดินของเรา หาข้อสรุปที่จะจบให้ได้โดยที่เราจะไม่มีการเสียเปรียบใดๆ ทั้งสิ้น จะค่อยๆ มีข่าวดีทีละนิดๆ แล้วประเทศไทยก็จะกลับมาสู่ความสงบสุข สร้างชีวิตสร้างความสามัคคีให้กับประเทศอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ ซึ่งอยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อเตรียมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47- ASEAN Summit 2025 ที่จะมีการประชุมระดับรัฐมนตรี ก่อนจะมีการประชุมระดับผู้นำอาเซียน ในวันที่ 26-28 ต.ค.นี้ กล่าวถึงการลงนามเอกสารคำประกาศระหว่างไทยและกัมพูชา กำหนดแนวทางที่จะนำไปสู่สันติภาพร่วมกันว่า การปฏิบัติตามเอกสารที่เราจะลงนามต้องมีกัมพูชาร่วมทำด้วย โดยมีสหรัฐ มาเลเซีย และอาจมีประเทศอาเซียนอื่นร่วมเป็นสักขีพยานว่าจะนำไปสู่ปฏิบัติ เพื่อจะได้เดินหน้าไปสู่การร่วมมือดำเนินมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ป้องกันไม่ให้มีการเผยแพร่ข่าวปลอมที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
ลงนามสันติภาพต้องปฏิบัติจริง
นายสีหศักดิ์กล่าวว่า ก่อนการลงนามไทยต้องเห็นการปฏิบัติที่ชัดเจนจากฝ่ายกัมพูชาด้วย อย่างเช่นการถอนอาวุธหนักในวันที่ 25 ต.ค. รวมถึงการกู้ทุ่นระเบิด เราจะเริ่มดำเนินการแล้ว หวังว่าเขาให้ความร่วมมือกับเรา อย่างน้อยต้องกำหนดวันว่าวันไหนจะเริ่มอย่างไร เพราะประชาชนคนไทยต้องการรับรู้สิ่งเหล่านี้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับอธิปไตยและบูรณภาพดินแดน และหลังการลงนามความร่วมมือของนายกฯ เราต้องเห็นแนวทางปฏิบัติ อย่างน้อยจะเห็นว่าเราเดินมาในทางที่ถูกต้อง พยายามแก้ปัญหาหลักๆ มีการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และเมื่อเกิดการปฏิบัติ เราคงต้องมาดูการฟื้นฟูความสัมพันธ์อย่างไร เพราะไทย-กัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านกันเราต้องอยู่ด้วยกัน
"สำหรับฝ่ายไทยการตกลงกันไม่เพียงพอแค่แผ่นกระดาษ แต่เราต้องการเห็นการปฏิบัติ เพราะเราต้องการเห็นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาได้เปิดหน้าใหม่ แต่การเปิดหน้าใหม่นั้นต้องตอบคำถามประชาชนคนไทยด้วย และคนไทยก็รู้สึกให้ความสำคัญของศักดิ์ศรีของไทย การปกป้องอธิปไตยของไทย ผมอยากยืนยันว่าการเจรจาของเรายึดหลักนี้ ถ้าเราสามารถบรรลุข้อตกลงได้ และไม่ทำให้สูญเสียอธิปไตย ปกป้องศักดิ์ศรีของไทยโดยไม่ต้องใช้กำลังทางทหารน่าจะดีที่สุด และข้อตกลงที่มาด้วยการเจรจาทางการทูตน่าจะมีความยั่งยืนที่สุด" รมว.การต่างประเทศกล่าว
ส่วนนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ระบุฝ่ายไทย-กัมพูชาตกลงที่จะดำเนินการตามหลักการทางเทคนิค เพื่อการรังวัดและปักหลักเขตชั่วคราว โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ปี 1907 ว่า ไม่ใช่ข้อเท็จจริง การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ระหว่างวันที่ 21-22 ต.ค.ที่ผ่านมา ไม่มีการหารือหรือข้อตกลงใดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันในที่ประชุมคือ มอบหมายคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม (JTSC) ดำเนินการสร้างหลักเขตแดนใหม่ทดแทนหลักเดิมที่ชำรุดหรือสูญหาย 15 หลัก และที่จมน้ำ 3 หลัก พร้อมเร่งแก้ไข TOR 2003 เพื่อจัดทำแผนที่ภาพถ่าย โดยใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มความแม่นยำ รวมถึงเห็นชอบกระบวนการสำรวจและจัดทำหมุดชั่วคราวในพื้นที่เร่งด่วนหลักเขตแดนที่ 42-47 บริเวณบ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการหารือกันต่อไป
"ไทยไม่ยอมให้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง นายกฯ ได้ย้ำชัดเจนหลักการ 4 ข้อ ซึ่งให้ความสำคัญกับการปกป้องอธิปไตยแห่งรัฐ การสร้างเสถียรภาพตามแนวชายแดน และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ ไทยยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี แต่จะไม่ยอมและหวังว่าจะไม่มีการสร้างข้อมูลบิดเบือนที่กระทบต่อบรรยากาศแห่งความร่วมมือ และการสร้างความไว้วางใจ ในช่วงเวลาที่รัฐบาลไทยกำลังหาทางออกโดยสันติวิธี" โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว
ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพนัดแรก โดยมี พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ., พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผบ.ทร., พล.อ.อ.เสกสรร คันธา ผบ.ทอ. และพล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รอง ผบ.ตร. เข้าร่วม
จากนั้นทีมโฆษกเหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมกันแถลงผลการประชุม โดย พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กองทัพบกยังคงให้ความสำคัญสูงสุดในการป้องกันและรักษาความมั่นคงภายในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตามกรอบคำสั่งจักรพงษ์ภูวนารถ ทั้งในพื้นที่ของกองกำลังสุรนารี กองกำลังบูรพา รวมถึงได้มีการประสานแผนการปฏิบัติกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด กองทัพเรือ เพื่อให้การปฏิบัติภาพรวมมีความสอดคล้องกันและมีประสิทธิภาพ
"กองกำลังสุรนารีและกองกำลังบูรพาในปัจจุบันยังดำรงการเฝ้าตรวจและติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนอย่างใกล้ชิด และการเสริมความมั่นคงและการจัดระเบียบพื้นที่ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ในบริเวณพื้นที่สำคัญตามแนวชายแดน เช่น การเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่อยู่ในเขตพื้นที่ และมีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่เพื่อให้หน่วยนั้นมีความพร้อมรบเสมอ" โฆษก ทบ.กล่าว
พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า ที่ประชุมในวันนี้กองทัพเรือได้รับมอบภารกิจในการดูแลอธิปไตยทางบกและทางทะเลที่จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด รวมถึงการดูแลการคมนาคมอย่างเสรีทางทะเลในพื้นที่ โดยกองทัพเรือได้ชี้แจงขั้นตอนการปฏิบัติในสถานการณ์ปกติไปจนถึงสถานการณ์วิกฤตได้ในขั้นปฏิบัติการเพื่อนำเรียนถึงความพร้อมของกองทัพเรือในการใช้กำลังทางบกและทางเรือในการปฏิบัติการอย่างเต็มรูปแบบ
พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า กองทัพอากาศได้นำเสนอแนวทางการใช้กำลังทางอากาศและการสนับสนุนกำลังรบของกองทัพไทย ซึ่งอยู่ในอำนาจอธิปไตยของประเทศชาติ โดย ทอ.ได้ออกคำสั่งพิทักษ์จักรพงษ์ในการใช้กำลังทางอากาศ ทั้งมิติทางอากาศ มิติไซเบอร์ และมิติอวกาศ ในการสนับสนุนการปฏิบัติการร่วมของกองทัพไทย
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีแผนรับมือกับภัยคุกคามด้านตะวันออก คือที่กองกำลังบูรพาขอรับการสนับสนุนกองร้อยควบคุมปวงชน เนื่องจากมีการใช้ประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านมาก่อความไม่สงบ ผบ.ตร.สั่งการให้มีการเตรียมกำลัง อคฝ. 6,000 นาย อีกส่วนได้สั่งการให้ตำรวจพื้นที่ดูแลประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่ และปฏิบัติตามแผนหากเกิดเหตุการณ์ ที่จะสามารถย้ายอพยพประชาชนในพื้นที่ปลอดภัย
รัฐบาลถก 'กกต.' ปมบัตร 4 ใบ
วันเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายอนุทินพร้อมด้วยนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี, นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย, นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นางณัฐฏ์จารี อนันตศิลป์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี และนายอนันต์ แก้วกำเนิด ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เข้าประชุมกับ กกต. นำโดยนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต., นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. และคณะกรรมการ กกต. เพื่อหารือแนวทางจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญและการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา (MOU 2543) และ (MOU 2544) ในวันลงคะแนนเลือกตั้ง สส.เป็นการทั่วไป ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
นายอิทธิพรให้สัมภาษณ์หลังการหารือว่า การหารือในเบื้องต้นเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติในวันเดียวกันกับวันเลือกตั้งทั่วไป หากจะมีขึ้นในวันใด กระบวนการทำงาน งบประมาณที่เกี่ยวข้องจะเป็นอย่างไร และปัจจัยในการจัดวันเดียวกันขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง โดยทั่วไปเป็นการคุยกันกว้างๆ มากกว่า ไม่ได้ลงรายละเอียดที่จะต้องตัดสินใจอะไรในขณะนี้
"เรื่องจำนวนบัตร จากการหารือจะต้องมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ สำหรับแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ ส่วนบัตรที่จะใช้ในการทำประชามติ ณ ขณะนี้ได้วางแนวไว้ว่า หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ก็จะมีบัตรประมาณ 4 ใบ ซึ่งปัจจัยพวกนี้จะต้องดูวิวัฒนาการ ที่จะมีขึ้นเวลาตั้งแต่ปัจจุบันนี้จนถึง ณ เวลาหนึ่ง ซึ่งมีการพูดคุยกันว่าจะต้องมีบัตรเพิ่มขึ้นแน่ๆ เพราะคิดว่าน่าจะมีปัญหากับประชาชนในเรื่องของการจดจำบัตรที่เพิ่มขึ้นบ้าง ดังนั้นเราจะต้องมีวิธีการบริหารจัดการให้มั่นใจที่สุด ว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิออกเสียง และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานจะไม่สับสน ซึ่งเราจะลงไปในรายละเอียดและจะทำให้ดีที่สุด" นายอิทธิพรกล่าว
ถามถึงงบประมาณที่จะใช้สำหรับการทำประชามติและการเลือกตั้งควบคู่กันไปอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ นายอิทธิพรกล่าวว่า ตัวเลขกลมๆ ที่ประมาณการอยู่ ณ ขณะนี้ หากทำพร้อมกันตัวเลขจะอยู่ที่ประมาณกว่า 9,000 ล้านบาท ส่วนถ้าทำแยกกันจะใช้งบประมาณรวมกว่า 10,000 ล้านบาท โดยคำนวณจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งในปี 2569 จำนวน 53 ล้านคน เพราะฉะนั้นการทำควบคู่กันประหยัดแน่นอน
ด้านนายอนุทิน ตอบคำถามสื่อมวลชนสั้นๆ เรื่องจะทำประชามติ MOU ฉบับที่ 43 และ 44 หรือไม่ เนื่องจากมีเสียงนักวิชาการและนักการเมืองหลายคนแสดงความเป็นห่วงเรื่องนี้ว่า เรื่องนี้อยู่ในนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาไปแล้ว
ถามว่า ในการทำประชามติเหล่านี้จะมีความชัดเจนเมื่อไหร่ นายอนุทินกล่าวว่า จากนี้จะมีการหารือผ่านคณะทำงานที่ตั้งร่วมกัน ซึ่งมีนายบวรศักดิ์และนายภราดรที่จะต้องมาทำงานร่วมกันกับ กกต.
"จะทราบความชัดเจนในกรอบการทำงานอย่างไรนั้น ขอย้ำว่าก็ต้องทำให้เร็วที่สุด เพราะว่าถึงอย่างไร 31 ม.ค.2569 ก็ต้องยุบสภา" นายกฯ กล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โปรดเกล้าฯ พ.ร.ฎ.ยุบสภา 'อนุทิน' อ้างการเมืองรุมเร้า ต้องคืออำนาจให้ประชาชน
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีใจความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ ให้ประกาศ
แฉทหารต่างชาติบังคับโดรน
วุ่นกักตัวคนไทยไม่ให้กลับประเทศ ทบ.ซัดการทูตปอยเปต ใช้พลเรือนเป็นข้อต่อรอง ด้าน กต.เร่งออกเอกสารด่วนให้คนไทยตอนในเดินทางออกทั้งทางบก-อากาศ
สามเณร-แม่ชี ร่วมน้อมรำลึก พระพันปีหลวง
พระราชวงศ์บำเพ็ญพระราชกุศลถวาย “พระพันปีหลวง” สามเณร-แม่ชีน้อย
ปปช.ผนึกปปง. สอบMOU‘ดีอี’ ก๊วน‘เบน สมิธ’
"ไชยชนก" โยน "ธรรมนัส-นฤมล" แจงเองปมร่วมเฟรม "เบน สมิธ" เป็นพยานลงนาม MOU บ.สิงคโปร์
ศึกชายแดน เปลี่ยนเกม! ‘อนุทิน’ พลิกบีบ ‘ส้ม-แดง’
พรรคภูมิใจไทย พลิกเกมขี่กระแส ชาตินิยม ได้อย่างทันทีท่วงที เมื่อ “นายกฯ หนู”-อนุทิน ชาญวีรกูล พลิกสถานการณ์จากเสียงตำหนิเรื่องน้ำท่วมใต้และปัญหาสแกมเมอร์ล่าช้า มายืนบนพื้นที่ที่ตัวเองได้เปรียบ คือกระแสชาตินิยม และประเด็นความมั่นคง
หวั่นสหรัฐแทรกแซงไทย นายกฯหารืออันวาร์แล้ว
“โดนัลด์ ทรัมป์” ยังไม่ต่อสายกล่อมไทยหย่าศึก "นายกฯ หนู" พร้อมแจงจุดยืนไทยเหตุถูกรุกรานก่อน

