‘คนละครึ่ง’พุ่ง! ทะลุ6.4พันล้าน เชือด55ร้านค้า

ถึงคิวผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐวันนี้ 13.4 ล้านคน รับ 1,700 บาท โอนเข้าบัญชี 2 งวด 1 พ.ย.และ 1 ธ.ค. ส่วน “คนละครึ่งพลัส” คึกคัก! ใช้จ่ายรวม 5.4 พันล้านแล้ว รัฐบาลเชิญชวนร้านค้าทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมโครงการได้ถึง 19 ธันวาคมนี้ คลังเชือดร้านค้า 55 ราย พบพฤติกรรมรับแลกเงินสด และสแกนรับเงินห่างจุดขายแบบผิดปกติ

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ที่เงินช่วยเหลือสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะถูกโอนเข้าบัญชีทุกวันที่ 1 ของเดือน ซึ่งคาดว่า เงินช่วยเหลือจะโอนเข้าบัญชี ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 และ 1 ธันวาคม 2568 จำนวน 850 บาทต่อคนต่อเดือน รวม 1,700 บาทต่อคน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า  คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการเพิ่มวงเงินสวัสดิการให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งปี 2568 เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาค่าครองชีพ รวมถึงช่วยเพิ่มกำลังซื้อ และเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2568 ส่งผลให้เกิดการบริโภค การผลิต และการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นลูกโซ่ ทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม และจัดประชารัฐสวัสดิการเพิ่มเติมเป็นการชั่วคราวให้แก่ผู้มีบัตรฯ ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 จำนวน 13.4 ล้านคน 

ทั้งนี้ ผู้มีบัตรฯ จะได้รับวงเงินเพิ่มอีกจํานวน 850 บาทต่อคนต่อเดือน โดยเพิ่มเติมจากวงเงินที่ได้รับเดิมจํานวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2  เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2568 กรณีมีวงเงินคงเหลือในเดือนใด จะไม่มีการสะสมไปในเดือนถัดไป สามารถใช้วงเงินได้ที่ร้านธงฟ้าฯ และร้านค้าที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม

“ผู้มีบัตรฯ สิทธิประโยชน์เป็นไปตามเดิมทุกประการ ไม่มีอะไรเปลี่ยน โดยได้วงเงินเพิ่มอีกจํานวน 850 บาท ทั้งนี้ รัฐบาลเตรียมเปิดลงทะเบียนรอบใหม่ คาดในช่วงต้นปี 2569 โดยมีการทบทวนและปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณสมบัติใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน และให้เข้าถึง “กลุ่ม” ที่ต้องการอย่างแท้จริงมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้มีบัตรฯ”  นายสิริพงศ์กล่าว

ด้าน น.ส.ลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ยังคงได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่องจากประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ โดยรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล  นายกรัฐมนตรี มุ่งผลักดันให้มาตรการดังกล่าวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และสร้างรายได้หมุนเวียนในชุมชนอย่างทั่วถึง

เพื่อเปิดโอกาสให้ร้านค้ารายใหม่เข้าร่วมโครงการได้มากขึ้น รัฐบาลได้กำหนดให้ร้านค้าสามารถสมัครเข้าร่วม “คนละครึ่งพลัส” ได้ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” หรือสมัครด้วยตนเองที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ โดยต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีของรัฐ และจำหน่ายสินค้า-บริการที่เข้าข่ายตามเงื่อนไขของโครงการ เช่น ร้านอาหาร ร้านตัดผม ร้านนวดแผนไทย ร้านซักรีด หรือร้านค้าทั่วไป

รองโฆษกฯ ระบุว่า ปัจจุบันมีร้านค้าผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้วกว่า 7.8 แสนราย และมียอดการใช้จ่ายรวมกว่า 5.4 พันล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงพลังการจับจ่ายของประชาชนที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมขอเชิญชวนร้านค้าที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการรีบสมัครภายในกำหนด เพื่อใช้โอกาสนี้ขยายฐานลูกค้า และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ขณะที่ นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการติดตามตรวจสอบพฤติการณ์ของร้านค้าในสื่อสังคมออนไลน์ ร่วมกับการวิเคราะห์ธุรกรรมของร้านค้าด้วยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ กระทรวงการคลังได้ระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการของร้านค้าแล้ว 55 ราย หลังพบพฤติการณ์รับแลกเงินและสแกนรับเงินห่างจุดขายแบบผิดปกติ จึงขอย้ำเตือนว่า กระทรวงการคลังจะดำเนินการเอาผิดกับร้านค้าที่ทุจริตในโครงการอย่างถึงที่สุด

“รัฐบาลมีวัตถุประสงค์ชัดเจนที่จะร่วมจ่ายค่าสินค้าหรือบริการกับประชาชนเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพ และกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจับจ่ายใช้สอยกับผู้ค้าขายรายเล็ก แต่หากร้านค้าและประชาชนมีพฤติการณ์ เช่น รับแลกเงินโดยไม่มีการซื้อขายสินค้ากันจริง สแกนค่าสินค้าต่างจากราคาสินค้าหรือบริการจริง ซื้อขายสินค้าต้องห้าม กระทรวงการคลังจะลงโทษเรียกเงินคืนเต็มจำนวน และดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด นอกจากนี้ ยังเปิดให้แจ้งเบาะแสการทุจริต และอุทธรณ์สิทธิโต้แย้งกรณีถูกตัดสิทธิ์ได้ที่อีเมล  [email protected] เช่นกัน โดยข้อมูลถูกเก็บไว้เป็นความลับ”

ส่วนความคืบหน้าการใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง พลัส ล่าสุด วันที่ 1 พ.ย.68 มีผู้ใช้จ่ายผ่านโครงการ สำเร็จแล้วกว่า 14.5 ล้านราย ยอดใช้จ่ายรวมกว่า 6,400 ล้านบาท ผ่านร้านค้ากว่า 6.6 แสนแห่ง ประชาชนสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมได้จนถึง 31 ธ.ค.68 โดยแต่ละวันไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายให้เต็มสิทธิ 200 บาท สามารถสะสมใช้ในวันต่อไปได้ จนกว่าจะครบวงเงิน หรือสิ้นสุดโครงการ 31 ธ.ค.

ดร.ภญ.มณฑกา ธีรชัยสกุล ผู้ช่วยอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า  โครงการคนละครึ่งพลัส เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลประกาศใช้ในปี 2568 เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนและกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยกรมการแพทย์แผนไทยฯ เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจนวดและสปา ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของเศรษฐกิจสุขภาพไทย จึงขอเชิญผู้ประกอบการทั่วประเทศเข้าร่วม เพื่อร่วมกันผลักดันเศรษฐกิจสุขภาพของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเชิญชวนผู้ประกอบการร้านนวด ร้านสปา และสถานประกอบการสุขภาพทั่วประเทศ เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ พร้อมช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และยกระดับอุตสาหกรรมสุขภาพไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ กรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้กำหนดทิศทางการพัฒนานวดไทยให้ก้าวสู่ความเป็นสากล ผ่านการยกระดับมาตรฐานบริการ การพัฒนาทักษะบุคลากร และการสร้างภาพลักษณ์ “นวดไทย” ให้เป็น Soft Power ที่สะท้อนอัตลักษณ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย สอดคล้องกับยุทธศาสตร์รัฐบาลในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Medical & Wellness Hub ของภูมิภาคเอเชีย

นอกจากนี้ กรมการแพทย์แผนไทยฯ ยังเตรียมผลักดันให้การนวดไทยเป็นบริการหลักในศูนย์สุขภาพครบวงจร (Wellness Center) ทั่วประเทศ รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) เชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชนและกระจายประโยชน์สู่เศรษฐกิจท้องถิ่น

สำหรับสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส จะต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ใบอนุญาตนวดเพื่อสุขภาพหรือสปาเพื่อสุขภาพ และผ่านการประเมินมาตรฐาน สถานประกอบการเวลเนส จากกรมการแพทย์แผนไทยฯ ซึ่งครอบคลุมด้านบุคลากรผู้ให้บริการ ความสะอาด  ความปลอดภัย และคุณภาพการให้บริการตามมาตรฐานวิชาชีพ

 “โครงการคนละครึ่งพลัส ไม่เพียงช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายของประชาชน แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก และสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการนวดและสปา ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของอัตลักษณ์ความเป็นไทย โครงการดังกล่าวนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจสุขภาพของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง เคียงคู่กับการอนุรักษ์ภูมิปัญญาแผนไทย พร้อมก้าวสู่เป้าหมายการเป็น ศูนย์กลางเวลเนสแห่งเอเชียอย่างยั่งยืนในอนาคต” ผู้ช่วยอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง