จวก‘อนุทิน’ไร้มารยาท พท.เปิดตัวบิ๊กเนม7พย.

"เพื่อไทย" อ้ำอึ้งซักฟอกรัฐบาล เปิดตัวบ้านใหญ่ปากน้ำก็ยังไม่ชัด ด้าน "อนุทิน" ถึงกับอุทานเหรอ! "นิพิฏฐ์" สับแหลกนายกฯ แต่งชุดสีกากีไปเรียกประชุมบิ๊กข้าราชการ แล้วขึ้นเวทีปราศรัยให้พรรคภูมิใจไทย เลขาฯ กกต.ไม่สนทำประชามติล่วงหน้าผ่านไปรษณีย์ หวั่นโมฆะ

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความคืบหน้าการเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า มีการพูดคุยกันเบื้องต้น และคณะยุทธศาสตร์ของพรรคก็คุยกันอยู่ อย่างไรก็ตามต้องไม่ไปกระทบต่อกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราต้องคำนึงถึงไทม์ไลน์ต่างๆ ด้วย แต่เรื่องนี้ตนเคยพูดหลายครั้งแล้วว่าเรื่องของพยานหลักฐานต่างๆ ต้องพร้อมที่จะอภิปราย

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากต้องไปประสานกับพรรคประชาชน (ปชน.) จะมีปัญหาอะไรหรือไม่ เพราะไม่มีคนเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (วิปฝ่ายค้าน) รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยตอบว่า  จริงๆ แล้วการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นสิทธิ์ของฝ่ายค้าน และใช้เสียง 1 ใน 5 ของที่ประชุมสภาที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งเสียงของพรรค พท.ก็พอ หากไม่คุยกับพรรค ปชน.ก็สามารถยื่นได้

นายสรวงศ์กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ก็ได้มีการพูดคุยกับนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้านด้วย แต่เราจะมีการพูดคุยกัน เพราะอยู่ในสภา แม้เราจะไม่มีคณะทำงานที่เข้าไปเป็นวิปฝ่ายค้านอย่างเป็นทางการ แต่ในการทำงานเราก็ต้องมีการพูดคุยกันอยู่

เมื่อถามว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังเป็นเงื่อนไขที่ยังกังวลว่าจะมีการชิงยุบสภาอยู่ใช่หรือไม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า ตอนนี้ไทม์ไลน์แล้ว เท่าที่ตนได้รับทราบจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พ.ศ. ... รัฐสภาก็มีความพยายามที่จะยืดเวลาออกไป ไม่อยากให้มีการเปิดสมัยประชุมวิสามัญได้ทันช่วงที่มีการปิดสมัยประชุม จริงๆ แล้วหากมีการยื่นไว้ที่มีการเปิดสมัยประชุมสมัยสามัญ คือวันที่ 12 ธันวาคมเป็นต้นไป ก็สามารถที่จะทำได้เลย หากสภารับแล้วก็ไม่สามารถที่จะยุบสภาหนีได้

ถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวพรรค พท.จะมีการเปิดตัวบ้านใหญ่อัศวเหม นายสรวงศ์กล่าวว่า มีการพูดคุยกัน เดี๋ยววันที่ 7 พ.ย. นี้ก็จะมีการเปิดตัวบางส่วน

ถามย้ำว่า หมายถึงเปิดตัวบ้านใหญ่อัศวเหมใช่หรือไม่  นายสรวงศ์กล่าวว่า “มีครับ น่าจะมีอยู่ครับ ผมไม่แน่ใจว่าจะทันหรือไม่ เดี๋ยวต้องดูว่าตัวบ้านอัศวเหมพร้อมหรือไม่”

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอให้รอวันที่ 7 พ.ย.นี้ จะมีบิ๊กเนมและรายชื่อจำนวนมากประมาณ 20-30 คน ยืนยันว่ามีบิ๊กเนมให้ตื่นเต้นแน่นอน การเข้ามาของบ้านอัศวเหมถือเป็นความเชื่อมั่น และเป็นการบอกถึงเรื่องกระแสและความนิยมของพรรคเพื่อไทยว่ายังเป็นที่สนใจของประชาชน ไม่เช่นนั้นคงไม่มีนักการเมืองทยอยเดินเข้าพรรคเพื่อไทย

ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "อย่าริทำ ผมฟังข่าวนายกรัฐมนตรีไปตรวจราชการที่ จ.กระบี่ แต่งเครื่องแบบสีกากีเรียบร้อย เรียกประชุมหัวหน้าส่วนราชการเสร็จก็ขึ้นเวทีหาเสียงให้ผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย

ต่อมาวันที่ 2 พ.ย. 2568 นายกฯ ไปเปิดตัวผู้สมัครพรรคภูมิใจไทยที่ จ.ตรัง แม้คราวนี้ไปเป็นการส่วนตัว แต่การที่นายกรัฐมนตรีใส่เสื้อพรรคภูมิใจไทย ให้ว่าที่ผู้สมัคร สส.จังหวัดตรัง แต่ฉากหลังมีป้ายที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นหราอยู่

ทั้ง 2 กรณีมิควรทำ กรณีแรกที่ จ.กระบี่ ตรวจราชการแต่งเครื่องแบบกากี เสร็จแล้วขึ้นเวทีหาเสียง อาจผิดกฎหมายและผิดจริยธรรมเอาเสียด้วยซ้ำ ส่วนกรณีที่ 2 ใส่เสื้อพรรคภูมิใจไทยในที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการไร้มารยาททางการเมืองอย่างชัดเจน เรื่องแบบนี้คนเป็นนายกรัฐมนตรีต้องรู้ หรือควรรู้

จังหวัดตรัง เป็นที่อยู่ของอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย, อดีตประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย และอดีตรัฐมนตรีเกือบทุกกระทรวงของประเทศนี้ ท่านนายกรัฐมนตรี 4 เดือนควรใช้ความระมัดระวังมากกว่านี้ ผมเขียนแค่นี้แหละครับ เพียงแต่อยากจะบอกนายกรัฐมนตรีว่า ต่อไปให้หัดมีมารยาททางการเมือง 'อย่าริทำ' อีก"

"ฝากถึง ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย แนะนำในคณะรัฐมนตรี (ครม.) หน่อย ว่าสิ่งไหน ครม.ทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้ หรือสิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ ยุคที่การเมือง 'ไร้มารยาท' ผมก็บังอาจไร้มารยาทกับนายกรัฐมนตรีอย่างนี้แหละครับ"

ด้านนายอนุทินปฏิเสธที่จะตอบ กรณีเดินทางไปจังหวัดตรังเพื่อเปิดตัวว่าที่ สส.ตรัง พรรคภูมิใจไทย โดยมีนายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ หรือโกหนอ อดีต สส.ตรัง และบิดาของ น.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ สส.เขต 3 จ.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์มารอต้อนรับ โดยนายกฯ ไม่ตอบคำถามดังกล่าว  พร้อมระบุว่าวันนี้มาที่ ปปง.และใส่ชุดข้าราชการอยู่

นายอนุทินยังกล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยจะเปิดตัวบ้านใหญ่อัศวเหม โดยอุทานว่า "เหรอ ยังไม่ทราบเลย" ก่อนจะกล่าวว่า เดี๋ยวตนต้องไปรอรับลี เซียนลุง รัฐมนตรีอาวุโสแห่งสิงคโปร์ และอดีตนายกรัฐมนตรี

ส่วนนายบวรศักดิ์เผยว่า ถือเป็นคติมาตลอด ว่าคำเตือนมีค่ากว่าคำชม แต่คำเตือนต้องเป็นคำเตือนที่สุภาพ  ไม่ใช่ด่าทอกัน เพราะการด่าทอเป็นการผิดศีลข้อสี่ เป็นมุสาวาท ก่อนย้ำว่าคำเตือนนั้นมีค่า แต่ตนมองว่านายนิพิฏฐ์ก็เตือนเอง ไม่ต้องให้ตนไปเตือน เพราะนายกฯ ก็รู้ว่าอะไรคืออะไร

พร้อมกับขอร้องว่า หากคนในสังคมเตือนกันด้วยวาจาสุจริต มันก็น่ารัก แต่ถ้าคนในสังคมเตือนกันด้วยการด่าหรือการจิกตี ผิดศีลข้อ 4 และกล่าวทิ้งท้ายว่าไม่มีอะไรมากกว่านั้น

นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงข้อเสนอของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.พรรคประชาชน ในการทำประชามติล่วงหน้าผ่านไปรษณีย์ว่า บางเรื่องสามารถทำเกินกฎหมายได้ หากเป็นงานธุรการในการอำนวยความสะดวก แต่ในบางเรื่องที่กฎหมายกำหนดไว้ เสี่ยงที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ หากทำเกินกว่ากฎหมายกำหนด

"เราจะไม่เสี่ยงแม้แต่นิดเดียว ในการที่จะทำให้กระบวนการเลือกตั้งและผลการเลือกตั้งเกิดความเสี่ยงเช่นนั้น แต่เมื่อมีข้อเสนอมาอย่างนี้จะมาดูกฎหมายอีกครั้งหนึ่ง ว่าจะทำได้แค่ไหน เราคำนึงถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ" นายแสวงกล่าว

เลขาธิการ กกต.ยังกล่าวถึงกรณีประชาชนพบชื่อตัวเองเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหนึ่งโดยที่ไม่ได้สมัครว่า สำนักงานจะตรวจสอบไปยังพรรคการเมือง ต้องสอบถามว่าเวลารับสมัครสมาชิกได้ดำเนินการตามกฎหมายหรือข้อบังคับหรือไม่ หากตรวจสอบแล้วว่ามีความผิดจริง กฎหมายก็กำหนดโทษ ในฐานะหัวหน้าพรรคจะโดนโทษปรับ แต่นายทะเบียนพรรคที่เป็นคนตรวจสอบคนแรกจะมีโทษอาญาด้วย  หากจำไม่ผิดจำคุกไม่เกิน 3 ปี

วันเดียวกันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ในคดีที่นายคงเดชา ชัยรัตน์ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 49 กรณีกล่าวอ้างนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุธ ผู้ถูกร้องที่ 2 ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกพรรคประชาชน 143 คน กระทำการล้มล้างการปกครองเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ

ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาโดยอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องเพิ่มเติมและเอกสารประกอบเมื่อบันทึกข้อตกลง MOA ระหว่างนายณัฐพงษ์กับนายอนุทิน เป็นการเจรจาหรือการประกาศเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอ ที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องทั้ง 3 กระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.