ดรามาพท.อวย‘สนธิ’ ชวนไปอยู่‘ฝ่ายปชต.’

สยบดรามา อวยพรวันเกิดสนธิ "ก่อแก้ว" ขอถามตรงๆ การทอดไมตรีครั้งนี้ ดึงศัตรูให้มาเป็นผู้สนับสนุน ดีต่อฝ่ายประชาธิปไตย เชื่ออาจเปลี่ยนอนาคตได้ ขณะที่คอลัมนิสต์ผู้จัดการเผย  เจ้าของบ้านเปิดประตูต้อนรับอย่างสุภาพ จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามมารยาททางสังคม

เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 นายก่อแก้ว  พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แสดงความเห็นต่อกรณีที่หัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรคเดินทางไปอวยพรวันเกิดนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ และอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม

นายก่อแก้วโพสต์ว่า การต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับอนุรักษนิยม เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยแบบสากลอย่างแท้จริง ยังไม่เคยเข้าใกล้ความสำเร็จ  ฝ่ายอนุรักษนิยมยังยึดกุมอำนาจที่เหนือกว่ามาโดยตลอด

เมื่อใดที่ฝ่ายอนุรักษนิยมเห็นว่า ประชาธิปไตยเริ่มเบ่งบานที่อาจจะกระทบต่ออำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มเขา ฝ่ายประชาธิปไตยจะถูกจัดการด้วยวิธีใดก็ได้ จนเราเห็นหลายต่อหลายครั้งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

“ทหารยึดอำนาจ องค์กรอิสระปลดนายกฯ ยุบพรรคการเมือง ยัดเยียดข้อกล่าวหาต่างๆ และดำเนินคดีต่อนักการเมือง ใช้มวลชนชุมนุมประท้วง  ใช้สื่อทุกรูปแบบในการใส่ร้ายป้ายสี ยัดเยียดคดีความเพื่อให้ประชาชนหยุดเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนฝ่าย ใช้อามิสสินจ้างเพื่อให้แกนนำเปลี่ยนข้าง หรือลดทอนภราดรภาพ ฯลฯ

ดังนั้นฝ่ายประชาธิปไตย ต้องร่วมมือกัน และสงวนจุดต่างในสิ่งที่คิดไม่เหมือนกัน

ทั้งพรรคการเมืองและมวลชน ควรช่วยกันดึงคนกลางๆ และคนที่อยู่ฝ่ายอนุรักษนิยมให้หันมาสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยมากขึ้น และต้องไม่ผลักดันฝ่ายเดียวกันให้ถอยห่าง จนอาจจะไปยืนข้างฝ่ายตรงข้าม

ยิ่งดึงฝ่ายอนุรักษนิยมให้หันกลับมายืนฝั่งประชาธิปไตยมากเท่าไหร่ ประเทศไทยยิ่งมีโอกาสก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งฝ่ายประชาธิปไตยแตกแยกกันมากเท่าไหร่ ผลักไสพวกเดียวกันไปยืนฝั่งตรงข้าม เราก็ห่างไกลความฝันไปมากเท่านั้น

กรณีหัวหน้าพรรคเพื่อไทยทอดไมตรีไปแสดงความยินดีในโอกาสวันคล้ายวันเกิดคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และวันครบรอบก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ทั้งๆ ที่คุณสนธิเคยเป็นแกนนำหัวขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ประท้วงท่านอดีตนายกฯ ทักษิณ ในปี 2548 จนนำมาสู่การยึดอำนาจเมื่อ 2549 และทำให้ประเทศถอยหลังมาจนทุกวันนี้

นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหลายคนอาจไม่เห็นด้วย หลายคนอาจไม่สามารถทำใจยอมรับได้ แต่ผมเองก็ต้องขอถามตรงๆ ว่า การทอดไมตรีครั้งนี้ ดึงศัตรูให้มาเป็นผู้สนับสนุน ดีต่อฝ่ายประชาธิปไตยหรือไม่ เราไม่อาจเปลี่ยนอดีตได้ แต่การดึงคนที่เคยเป็นศัตรูให้มายืนสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยมากๆ ผมเชื่อว่าเราอาจจะเปลี่ยนอนาคตได้ครับ

ด้านนายสุรวิชช์ วีรวรรณ คอลัมนิสต์ประจำเครือผู้จัดการ โพสต์ว่าเฟซบุ๊ก #เมื่อแกนนำพรรคเพื่อไทยมาคารวะสนธิ สนธิ ลิ้มทองกุล คือสื่อมวลชนอาวุโสผู้ผันตัวจากการถือไมค์สู่การถือธงประชาชน ในห้วงเวลาที่ระบอบทักษิณรุ่งเรืองที่สุด   เขาคือคนที่กล้าออกมายืนตรงข้ามอำนาจทางการเมือง และเป็นผู้นำมวลชนที่มีบทบาทสูงสุดในยุคนั้น

แต่แม้จะยืนตรงข้ามกับทักษิณ สนธิในฐานะสื่อมวลชนไม่เคยหยุดวิพากษ์ตรวจสอบรัฐบาลใดๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลอภิสิทธิ์ ประยุทธ์ หรือพรรคเพื่อไทยในยุคต่างๆ

เขาไม่ใช่สื่อที่หลับหูหลับตาด่าทุกเรื่อง แต่ใช้เหตุผลและความรับผิดชอบในฐานะสื่ออาชีพ หากรัฐบาลทำสิ่งที่ถูกต้อง เขาก็กล้าชื่นชม เช่นเดียวกับกรณีพรรคส้มที่มีจุดยืนต่างกันสุดขั้วในเรื่องสถาบันกษัตริย์ สนธิยังสามารถยอมรับผลงานในบางด้านได้ โดยไม่ละทิ้งอุดมการณ์หลักของตน        นี่คือจุดยืนของสื่อในวัย 78 ปี ที่เข้าใจว่า “การวิพากษ์ไม่ใช่ความเกลียด” และ “การเห็นต่างไม่ใช่ศัตรู”

ดังนั้น เมื่อแกนนำพรรคเพื่อไทยรุ่นใหม่ นำโดยจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ถือช่อดอกไม้ของแพทองธารมาอวยพรวันเกิดสนธิ การที่เจ้าของบ้านเปิดประตูต้อนรับอย่างสุภาพ จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องตาม  “มารยาททางสังคม”

ในความหมายเชิงวิชาการ “มารยาททางสังคม” หมายถึง พฤติกรรมที่สอดคล้องกับบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม (social norm) ซึ่งสะท้อนความเคารพต่อศักดิ์ศรีของผู้อื่นในเชิงจริยศาสตร์สังคม   มารยาทจึงไม่ใช่เพียงกิริยา แต่คือ “การเคารพความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น”

เมื่ออีกฝ่ายมาในฐานะแขก ถือช่อดอกไม้มาอวยพรวันเกิด เจ้าของบ้านย่อมต้องให้เกียรติ ไม่ใช่ขับไล่หรือเย้ยหยัน เพราะการทำเช่นนั้นถือเป็นการละเมิดบรรทัดฐานของสังคม มารยาทในสถานการณ์แบบนี้ จึงไม่ใช่ “เรื่องเล็กของพิธีการ”  แต่เป็นรากของวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย ที่แม้จะต่างขั้ว ต่างความคิด ก็ยังรู้จักให้เกียรติในวาระที่เป็นเรื่องดีงาม

ตรงกันข้าม กลับมีบางกลุ่มนำภาพนั้นมาแขวนค่อนแคะ เย้ยหยันโจมตี ทั้งที่พรรคที่พวกเขาเชียร์เองก็เคยร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยมาแล้ว นี่คือ “อคติที่บดบังเหตุผล” และสะท้อนว่าสังคมเรากำลังขาดสิ่งที่เรียกว่า Political Etiquette หรือมารยาททางการเมือง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา

"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย