“ทักษิณ” กระอักเลือด! "อัยการสูงสุด" คนใหม่มีความเห็นยื่นอุทธรณ์คดีหมิ่นเบื้องสูง สวนมติ คกก.คดี 112 ยันคดีนอกราชอาณาจักรเป็นอำนาจ อสส. "โอ๊ค-เอม" เยี่ยม "ทักษิณ" เผยพ่อเสียใจ-เจ็บช้ำ จิตตก หลัง อสส.พลิกคำสั่งยื่นอุทธรณ์คดี112 ทั้งที่ คกก.เคยมีมติไม่ควรอุทธรณ์ ลั่นต้องสู้ต่อถ้ายังไม่ได้รับความยุติธรรม "ทนาย" ยันไม่กระทบพักโทษ ขณะที่ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ “ทักษิณ” แพ้คดีหุ้นชินคอร์ป ต้องจ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้านบาท ชี้ให้บุคคลอื่นถือหุ้นแทน ขาดคุณธรรมทางภาษี เป็นธุรกรรมที่มิชอบด้วยกฎหมายร้ายแรง
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าในการพิจารณาการยื่นอุทธรณ์คดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร จากกรณีให้สัมภาษณ์มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันเบื้องสูงกับสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 ซึ่งเป็นอำนาจของอัยการสูงสุด (อสส.) เนื่องจากเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ที่เดิมมีการยื่นขยายระยะวลาต่อศาลอาญาครั้งที่ 2 ไปถึงวันที่ 21 พ.ย.ที่จะถึงนี้
มีรายงานว่า เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุด ได้มีความความเห็นว่า การกระทำของนายทักษิณเป็นความผิดตามฟ้อง เห็นควรที่จะยื่นอุทธรณ์คดีให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาต่อไป ซึ่งขั้นตอนต่อไปคำสั่งให้อุทธรณ์ของ อสส.ซึ่งถือเป็นคำสั่งเด็ดขาด จะถูกส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เจ้าของสำนวน เพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป
เดิมทีการพิจารณาอุทธรณ์สำนวนคดีนี้เมื่อช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อสส.ท่านที่แล้ว มีคำสั่งให้นำเรื่องการจะยื่นอุทธรณ์นี้เข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการพิจารณาคดี 112 ของอัยการ
ซึ่งขณะนั้นมีนายอิทธิพร อสส.คนปัจจุบัน ซึ่งตอนนั้นเป็นรอง อสส. เป็นประธานคณะกรรมการ ซึ่งในครั้งนั้นคณะกรรมการดังกล่าวได้ประชุมพิจารณามีมติ 8-2 เห็นควรไม่อุทธรณ์ และส่งให้นายไพรัช อสส.พิจารณาแล้ว แต่จนพ้นตำแหน่ง อสส. นายไพรัชก็ไม่ได้มีความเห็นว่าจะอุทธรณ์คดีหรือไม่ จนอำนาจในการพิจารณาอุทธรณ์คดีไปอยู่ที่นายอิทธิพร อสส.คนปัจจุบัน ซึ่งสมัยนั่งประธานคณะกรรมการพิจารณาคดี 112 นายอิทธิพรก็ไม่ได้มีการลงมติในครั้งนั้น เนื่องจากเป็นมารยาทในฐานะประธาน คำสั่งอุทธรณ์ในครั้งนี้จึงไม่ใช่การกลับความเห็นของตัวเอง
สำหรับคณะกรรมการพิจารณาคดี 112 คือคณะกรรมการที่ อสส.ตั้งขึ้นมาพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั่วราชอาณาจักร ประกอบไปด้วย รอง อสส.ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน, อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาเป็นเลขานุการ โดยตำเเหน่ง ในส่วนคณะกรรมการ จะมาจากอัยการที่ดำรงตำเเหน่งอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้, อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี และอธิบดีอัยการสำนักงานอาญาอื่นๆ เพราะถือว่าเป็นสำนักงานที่ต้องรับคดีประเภทนี้โดยตรง นอกจากนี้ยังมีอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวนด้วย เนื่องจากบางคดีมีสำนวนที่เป็นคดีนอกราชอาณาจักร รวมถึงผู้ตรวจการอัยการบางคน และมีระดับรองอธิบดีอัยการบางสำนักงาน รวมกัน 10 กว่าคน ขึ้นอยู่กับ อสส.ในขณะนั้นตั้งขึ้น ทำหน้าที่พิจารณาสำนวนคดี 112 จากทั่วประเทศ เรียกว่าคดี 112 คดีใดจะสั่งฟ้องหรือไม่ขึ้นอยู่กับ กก.ชุดนี้
เเต่สำหรับคดีนี้ ซึ่งตามขั้นตอนคดี 112 ของนายทักษิณเป็นคดีนอกราชอาณาจักร อำนาจพิจารณายื่นอุทธรณ์เป็นของอัยการสูงสุด การพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาคดี 112 จึงเป็นการกลั่นกรองให้ อสส. ไม่ใช่การสั่งคดีเหมือนในชั้นพิจารณาคดี 112 ทั่วไป
ส่วนกรณีก่อนหน้านี้ที่ศาลอาญายกฟ้องคดี ศาลให้เหตุผลว่า เนื่องจากมองว่าคนที่ได้รับฟังคลิปวิดีโอล้วนเข้าใจตรงกันว่า จำเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอำนาจ และรัฐประหาร โดยพาดพิงถึงนายสุเทพกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และองคมนตรีเท่านั้น ไม่ได้พาดพิงหรือสื่อความหมายถึงสถาบันว่าอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร การสืบพยานหลักฐานโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิดจึงรับฟังไม่ได้ยกฟ้อง
'ทักษิณ' จิตตกเจ็บช้ำใจ
ที่เรือนจำกลางคลองเปรม นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ "โอ๊ค" พร้อมด้วย น.ส.ณัฐฐิญา ปวงคำ หรือ "ติ๊ก" ภรรยาของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ หรือ "เอม" เป็นตัวแทนครอบครัวเข้าเยี่ยมนายทักษิณ โดยวันนี้ถือเป็นครั้งที่ 17 สำหรับการเข้าเยี่ยมญาติ ซึ่งมีกลุ่มคนเสื้อแดงแต่งกายเสื้อผ้าสีดำมายืนรอให้กำลังใจ ก่อนเดินเข้าภายในเรือนจำพร้อมนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความประจำตัวนายทักษิณ
ภายหลังเข้าเยี่ยม น.ส.พินทองทาเปิดเผยว่า วันนี้คุณพ่อดูเสียใจและรู้สึกเจ็บช้ำจากเรื่องอัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์ คดี ม.112 ส่วนหลังจากนี้คงต้องไปคุยและวางแผน ต้องสู้ ถ้าเกิดเรายังไม่ได้รับความยุติธรรมก็ต้องสู้ต่อ แต่ว่าจุดนี้เราเป็นห่วงในเรื่องความรู้สึกคุณพ่อ เพราะท่านอยู่ในนี้ก็ไม่มีใครอยู่กับท่าน พวกเราได้เพียงส่งกำลังใจ แต่เรื่องเกิดวันนี้ก็ยังโชคดีที่ได้เข้ามาเยี่ยมคุณพ่อพร้อมครอบครัว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นการกระทบต่อจิตใจนายทักษิณ หรือไม่ เพราะได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแต่กลับยังมีคำสั่งแบบนี้ ด้านนายพานทองแท้ ระบุสั้นๆ ว่า "เป็นเรื่องที่ทำให้จิตตกอยู่พอสมควร แต่ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้กับครอบครัวเรา"
ด้านนายวิญญัติกล่าวว่า ประชาชนได้ส่งกำลังใจมาให้นายทักษิณตลอด โดยทราบว่ามีการจัดกิจกรรมรำลึกถึงคุณงามความดี ทำคุณูปการให้แก่ประเทศชาติ สิ่งเหล่านี้จึงทำให้นายทักษิณรู้สึกเจ็บปวด เสียใจที่กระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของรัฐ ผ่านกระบวนการยุติธรรมหรืออำนาจใดๆ อาจเรียกได้ว่ากลั่นแกล้งท่าน ขอใช้คำว่า "ถูกกระทำแล้ว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า"
ทนายวิญญัติกล่าวว่า ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้จะต้องสู้แน่นอนเพราะนายทักษิณเป็นนักสู้ เรื่องนี้ขอให้สังเกตว่าอสส.ที่ท่านมีความเห็นแย้งกับมติคณะทำงาน ซึ่งอ้างว่าไม่ใช่คณะทำงานที่ดูแลสั่งคดีดังกล่าว หมายความว่าเป็นคณะทำงานของอดีต อสส.คนก่อน ตนได้ยินมาว่ามีมติ 7-2 หรือบางคนก็บอกมีมติ 8-2 สั่งไม่สมควรอุทธรณ์ สำหรับเนื้อหาในคดีนี้ยืนยันนายทักษิณไม่มีเจตนากล่าวถึงเบื้องสูง และที่ผ่านมาชั้นอัยการมีความเห็นไม่สมควรอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลอาญาชั้นต้นจึงยกฟ้องเพราะไม่มีคำใดกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ ส่วนกระบวนการหลังจากนี้ อัยการจะยื่นอุทธรณ์ภายในวันที่ 21 พ.ย.นี้ หากส่งหมายมาเราก็มีหน้าที่การแก้อุทธรณ์ต่อไป
ทนายวิญญัติกล่าวอีกว่า การอุทธรณ์ไม่มีผลต่อการพักโทษ เพราะการอุทธรณ์เป็นเรื่องของกระบวนการ ส่วนการพักโทษเป็นเรื่องระยะเวลาของผู้ต้องขังทุกคนที่ได้รับสิทธิเท่าเทียม เสมอภาคกัน รวมถึงระยะเวลา 1 ใน 3 ของโทษที่ได้รับมาก็จะมีการพิจารณาพักโทษอยู่แล้ว และนายทักษิณสมควรได้รับการพักโทษเพราะอายุเกิน 70 ปี ถูกคุมขังระยะเวลาหนึ่งแล้วตามกฎหมายราชทัณฑ์
"อำนาจของอัยการสูงสุดประเทศนี้ ผมก็เห็นมาหลายคนแล้วมีอะไรที่พิสดารอยู่เรื่อยๆ นึกถึงคำพูดหนึ่งอภินิหารทางกฎหมาย ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วจะเกิดขึ้นในยุคนี้อีกทีก็ไม่รู้สึกแปลกใจแต่รู้สึกเสียใจ" นายวิญญัติกล่าว
แพ้คดีภาษี 1.76 หมื่นล้าน
วันเดียวกัน ที่ศาลภาษีอากร ถนนเเจ้งวัฒนะ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่นายทักษิณ ชินวัตร (โจทก์) ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร (จำเลยที่ 1), นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ (จำเลยที่ 2) ,นายประภาส สนั่นศิลป์ (จำเลยที่ 3) และนายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ (จำเลยที่ 4) ขอให้ศาลภาษีอากรกลางเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) เลขที่ ภงด.12-03025250-25600328-001-00005 ลงวันที่ 28 มี.ค. 2560 ที่แจ้งให้นายทักษิณจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท (ภาษี, เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม) ให้กรมสรรพากร
ต่อมาศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ภ 220/2563 คดีหมายเลขแดงที่ ภ 109/2565 ลงวันที่ 18 ก.ค. 2565 พิพากษาเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) เนื่องจากเจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากร มิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ (นายทักษิณ) ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ในฐานะตัวการ การออกหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) จึงเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบจากนั้นเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2566
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร มีคำพิพากษา ที่ 2819/2566 พิพากษายืนตามศาลภาษีอากรกลาง
โดยศาลฎีกาพิจารณาเเล้ว สรุปว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ของตน โดยให้บุคคลอื่นรวมถึงนายพานทองเเท้ และนางสาวพินทองทา ถือหุ้นแทนเพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง ที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ส่วนประเด็นอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลฎีกาได้พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์ คดีที่นายทักษิณ ชินวัตร โจทก์ ยื่นฟ้องคดีทางแพ่ง กรมสรรพากร จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 4 คน เรื่องภาษีอากร จึงมีผลให้นายทักษิณต้องปฏิบัติตามคำสั่งเรียกเก็บภาษีของกรมสรรพากรตามขั้นตอนกว่า 1.76 หมื่นล้านบาท.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
แบบพระเมรุมาศเสร็จม.ค. สานพระราชปณิธานผ้าไทย
"อธิบดีกรมศิลป์" เผยแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ “พระพันปีหลวง” แล้วเสร็จ ม.ค.69
หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.
"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.


