ส้มขายฝันแก้ปากท้อง! อนุสรณ์เผยศก.ถดถอย

พรรคประชาชนชำแหละประเทศไทยแทบไม่มีชิ้นดี ซัดรัฐราชการแข็งทำให้ไทยไม่รู้อยู่ตรงไหนในเวทีโลก “ธนาธร” ขายฝันใช้งบ 6.2 แสนล้านบาทใน 8 ปี ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย “นักวิชาการ” ชี้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคแล้ว  กระทุ้งภาครัฐเร่งการลงทุน ดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมา

เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2568 ที่อาคารอนาคตใหม่  นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ   และหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวในงานรีชาร์จประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า หากประเทศเราเหมือนแพลตฟอร์มแพลตฟอร์มหนึ่ง 20 ปีที่ผ่านมาจีดีพีอาเซียนโตขึ้น แต่ไทยเริ่มห่างขึ้นเมื่อเทียบกับโลก  ไทยฟื้นตัวหลังจากโควิดช้ากว่าโลก การจัดงบที่ผ่านมาเป็นแบบเดิม รัฐราชการแข็งมาก หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ตรงไหนบนเวทีโลก

“สิ่งที่ไทยยังทำได้ไม่ดีพอคือเรื่องน้ำประปา  ขยะ ฟ้าสะอาด ระบบการเมือง ระบบราชการ  ระบบยุติธรรม ความมั่นคง การศึกษา การรักษา ระบบปฏิบัติการบ้านเราตอนนี้มีแต่บั๊ก ไม่อัปเดตสักที ถ้าเราเปรียบเทียบรัฐหนึ่งรัฐเป็นแพลตฟอร์มหนึ่ง แพลตฟอร์มที่ดีคือแพลตฟอร์มที่สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ทำให้คนอยากย้ายเข้า แต่ประเทศไทยในปัจจุบันยังไม่ดีเพียงพอในหลายจุด”

นายณัฐพงษ์กล่าวถึงการทำอย่างไรเพื่อให้ประเทศไทยที่ดีขึ้นว่า เรื่องความมั่นคงทั้งภายในและต่างประเทศแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1.ในประเทศตั้งวอร์รูม และหน่วยเฉพาะกิจยึดทรัพย์ธุรกิจสีเทาในประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลจะสามารถยึดทรัพย์ และตรวจสอบได้ 2.ในภูมิภาคตั้งศูนย์ข่าวกรองแม่น้ำโขง รวมถึงศูนย์อาชญากรรมไซเบอร์อาเซียน และ 3.ระดับโลกต้องมีการทำการทูตสง่างาม ยึดผลประโยชน์ชาติเป็นตัวตั้ง และผลประโยชน์อาเซียนตามมา ไม่ยึดข้าง แต่ยึดหลักการ เอาวาระของโลกเป็นตัวตั้ง

ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวในหัวข้อ "Orange Megaprojects  การลงทุนครั้งใหญ่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย” ว่า หากพูดถึงเมกะโปรเจกต์ เราคิดถึงอะไรที่เป็นโครงสร้างใหญ่ๆ พรรคประชาชนบอกว่าเราควรต้องกลับมาลงทุนกับคุณภาพชีวิตของประชาชน การเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนต่างหากถึงจะเป็นไปเมกะโปรเจกต์ เราจึงเสนอ 627,000 ล้านบาท ใน 8 ปี เพื่อการจัดการปัญหาทั้งโรงเรียน น้ำดื่ม การจัดการน้ำเสีย ฯลฯ

นายธนาธรยกตัวอย่างเรื่องไฟฟ้า โครงสร้างอุตสาหกรรมพลังงาน โดยมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิต  การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ปรับเปลี่ยนเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนทำได้ โดยดึงสายไฟมาที่เดียวกัน และทำให้เกิดการแข่งขันในการผลิต จัดหมวดหมู่ใหม่ เกิดตลาดพลังงานขึ้น เปลี่ยนเป็นสมาร์ทมิเตอร์ ในขณะที่เรื่องรถโดยสารสาธารณะ ที่ไม่มีรถโดยสาร โดยแหล่งท่องเที่ยวในไทยไม่มีรถไป แต่หากเรามีรถเมล์ เชื่อมโยงกัน เราถึงเรียกว่าการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยนายก อบจ.ลำพูนจะเริ่มต้นในการเปิดเส้นทางรถเมล์ขึ้นในจังหวัด และขอเปิดสายสนามบินเชียงใหม่-ลำพูน เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางเข้าหากัน

 “ถ้าเราไม่กล้าคิดอย่างทะเยอทะยาน เราจะไม่มีทางไปถึง หลายคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ผมบอกว่าลองให้โอกาสพวกเราดู นี่เป็นเวลาของการกล้าทะเยอทะยาน คนต้องเข้าถึงระบบสาธารณะ  โรงเรียน โรงพยาบาล ต้องพร้อมรับมือดูแลผู้คนทั้งยั่งยืนและเป็นธรรมได้ และทำให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากประชาชนได้รับความไว้ใจจากน้องประชาชน มาเปลี่ยนแปลงการใช้งบงบประมาณ โดยงบประมาณจะไม่ถูกใช้อย่างสะเปะสะปะอย่างไม่มีเป้าหมาย ถ้าทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นจริง เหตุผลที่ใช้ 8 ปี เพราะเรื่องเหล่านี้มันใหญ่ 4 ปีไม่จบ”

นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. กล่าวในหัวข้อ “ธุรกิจไทยยังแข่งกับโลกได้” ระบุว่า วันนี้ผู้ประกอบการไทยเจอปัญหาหนักหลายเรื่อง หลายธุรกิจกำลังถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เครื่องมือของรัฐก็ไม่สนับสนุนเพียงพอ คือ 1.โดนทุนผูกขาด ทุนเทารุมกินโต๊ะ 2.โดนระบบ-ระเบียบรัฐขัดขวาง แทนที่รัฐจะช่วยโอบอุ้ม  และ 3.โดนโลกทิ้งห่าง ไหนจะสงครามการค้า  ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ผู้ประกอบการไทยนับวันถูกทิ้งห่างไปเรื่อยๆ

นายสิทธิพลเสนอว่า รัฐบาลต้องมียุทธศาสตร์รายสินค้า และกำหนดเป้าหมายให้สอดคล้องกับโอกาสที่มี โดยตัวอย่าง 10 นโยบาย Fair and Fight เพื่อผู้ประกอบการไทย แบ่งเป็น 3 ประเด็น  ดังนี้ 1.จัดการทุนผูกขาด/ทุนเทา ผลักดันการใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าฉบับใหม่ 2.แก้อุปสรรคจากภาครัฐ ให้มีการทำ OPEN DATA สำหรับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และ 3.ธุรกิจไทยทันโลก ควรมีการจัดสรรงบด้านการค้าต่างประเทศให้เหมาะสม มีการส่งเสริม ปกป้องให้ SMEs เข้าถึงได้

วันเดียวกัน รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่า คาดเศรษฐกิจไทยไตรมาสสี่ขยายตัวต่ำกว่า  1% และมีโอกาสที่จีดีพีเติบโตติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ถือว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคแล้ว แต่ภาวะดังกล่าวยังไม่สามารถบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนถึงวัฏจักรเศรษฐกิจโดยรวม เพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคจะพัฒนาสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างชัดเจนก็ต่อเมื่อมีภาวะการลดลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างอย่างมีนัยสำคัญ

“หากไทยประสบภาวะถดถอย ปีหน้าอาจจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ และอาจกลับไปมีภาวะถอดถอยอีก  หากไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับ 1% และเร่งรัดการใช้ภาครัฐที่ติดลบอยู่ในขณะนี้ เพราะมาตรการคนละครึ่งพลัสช่วยกระตุ้นการบริโภคปลายปีเท่านั้น” รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าว  และว่า หากไม่มีการเร่งรัดการลงทุนภาครัฐ การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน และการขยายของภาคการบริโภคมากกว่า 3% ขึ้นไป มีความเป็นไปได้สูงที่เราจะเผชิญภาวะเงินฝืด เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบมาต่อเนื่องหลายเดือน

ขณะที่ รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ อาจารย์ประจำศูนย์วิจัยความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนา (ICDS) คณะเศรษฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ ที่เดินหน้าปิดดีลเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-แคนาดา,  ไทย-อียู และไทย-เกาหลีใต้ นอกจากนี้ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ก็ถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าจับตามอง เพราะมีพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่เติบโตได้ค่อนข้างเร็ว โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี ถือเป็นโอกาสของไทยที่จะเข้าไปร่วมทำข้อตกลงทางการค้าด้วยเช่นกัน

รศ.ดร.จุฑาทิพย์กล่าวถึงโครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 2 ว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการบริโภคด้วยมาตรการที่กล่าวมาข้างต้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ทำได้ในระยะสั้นเท่านั้น เพราะจีดีพีไตรมาส 3 ที่สภาพัฒน์เพิ่งประกาศออกมา จะเห็นว่าการบริโภคไม่ใช่ปัญหาหลัก แต่สิ่งที่มีผลต่อจีดีพีคือการท่องเที่ยวและการลงทุนการบริโภคภาครัฐซึ่งยังน้อยอยู่  จนทำให้จีดีพีของไทยในไตรมาสนี้โตแค่ 1.2%  ภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญกับฟื้นคืนการท่องเที่ยวให้กลับมาดีขึ้น โดยเฉพาะการนำนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง