‘ลุงป้อม’ไปต่อ! พปชร.ปรับทัพ ตรีนุชนั่งเลขาฯ

พปชร.ปรับทัพใหม่สู้เลือกตั้ง ดัน  “ตรีนุช” นั่งเลขาธิการพรรค เสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ 3 คนก่อน 8 ธ.ค.นี้ "บิ๊กป้อม" ท้าไปถามประชาชน 70  ล้านคน ยังอยากให้อยู่ในการเมืองต่อหรือไม่ เผยเลือกตั้งครั้งนี้อยากได้ สส.มากที่สุด

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 3/2568 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค พปชร.  เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค สส. ตัวแทนภาค ตัวแทนสาขา และสมาชิกพรรค เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

               ภายหลังการประชุม นายไพบูลย์ นิติตะวัน  รองหัวหน้าพรรค พปชร. แถลงว่า ที่ประชุมมีการรับรองรายงานการประชุมและแก้ไขข้อบังคับพรรค  โดยมีเรื่องสำคัญคือการเปลี่ยนที่ตั้งของสำนักงานพรรค และเลือกกรรมการบริหารพรรคแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยเลือกรองหัวหน้าพรรค 1  ตำแหน่ง และเลขาธิการพรรค 1 ตำแหน่ง และกรรมการบริหารพรรคอีก 7 ตำแหน่ง ซึ่งผลของการเลือกทำให้คณะกรรมการบริหารพรรค พปชร.  ประกอบด้วยดังนี้

1.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค  2.น.ส.ตรีนุช เทียนทอง เลขาธิการพรรค 3.นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค 4.นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรค 5.นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค 6.นายภัครธรณ์ เทียนไชย รองหัวหน้าพรรค 7.นายนิพันธ์ ศิริธร รองหัวหน้าพรรค 8.พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ เหรัญญิกพรรค 9.นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ กรรมการบริหารพรรค 10.พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย กรรมการบริหารพรรค 11.หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรค

12.นายวัน อยู่บำรุง กรรมการบริหารพรรค 13.พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ กรรมการบริหารพรรค 14.นายบุรินทร์ สุขพิศาล กรรมการบริหารพรรค 15.พล.ท.กิตติพนธ์ สมจิต กรรมการบริหารพรรค 16.นายสามารถ แก้วมีชัย กรรมการบริหารพรรค 17.นายอนุมัติ อาหมัด กรรมการบริหารพรรค 18.นายอดิศร นุชดำรงค์ กรรมการบริหารพรรค 19.นายยุทธนา ศรีตะบุตร กรรมการบริหารพรรค  20.ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช  กรรมการบริหารพรรค 21.น.ส.นพวรรณ หัวใจมั่น กรรมการบริหารพรรค 22.นายสมโภชน์ แพงแก้ว กรรมการบริหารพรรค

               นายไพบูลย์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมมีการประกาศเชิญชวนให้มีการเสนอชื่อคนที่เห็นสมควรที่จะได้รับพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการบริหารพรรค โดยให้เสนอภายในวันที่ 8 ธันวาคมนี้ ถ้าเป็นไปได้จะส่งให้ครบทั้ง 3 คน ทั้งนี้ยืนยันว่ามีชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคแน่นอน

พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า การประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี  ผู้สื่อข่าวถามถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไป ตั้งเป้า สส.กี่ที่นั่ง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า "จะไปตอบได้ยังไง เราก็อยากได้มากที่สุด" เมื่อถามว่าจะส่งผู้สมัคร สส.ครบทุกเขตหรือไม่ พล.อ.ประวิตรร้องโอ้โห ก่อนกล่าวว่า ถามอย่างนี้อย่าถามดีกว่า ใครจะไปทำได้กับทุกเขต

เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะยังทำให้ พล.อ.ประวิตรยังคงอยู่ในการเมืองต่อ พล.อ.ประวิตรส่ายหน้าก่อนจะกล่าวว่า “เราตอบไม่ได้ ต้องถามประชาชน คุณไปถามทุกคนเลยไป  ไปถามทั้ง 70 ล้านคนเลย" พล.อ.ประวิตรกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการประชุมใหญ่  พล.อ.ประวิตรมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสและทักทายสมาชิกพรรคที่เข้ามาแสดงความเคารพ และยังมีสมาชิกพรรคบางส่วนได้มาขอถ่ายรูปเซลฟีกับพล.อ.ประวิตรด้วย

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ    (สช.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายยุทธศาสตร์ สานพลังจัดงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย.2568 ภายใต้ประเด็นหลัก “เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน” โดยมีผู้เข้าร่วมงานทางระบบ online และ on-site อย่างเนืองแน่น อีกทั้งภายในงานยังมีการจัดเวทีเสวนา   “อนาคตและโอกาสระบบสุขภาพของคนไทยกับรัฐธรรมนูญฯ ฉบับใหม่”

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สิ่งที่ควรบรรจุลงไปในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากสามารถจัดทำขึ้นได้จริงๆ เพื่อที่จะยกระดับระบบสุขภาพของคนไทยให้มีความยั่งยืน ทั่วถึง และเป็นธรรม คือการคุ้มครองและรับรองสิทธิด้านสุขภาพให้คนไทยทุกกลุ่ม ทั้งนี้ เมื่อมีการคุ้มครองสิทธิแล้ว ก็จะต้องมีการกำหนดหน้าที่ทั้งในส่วนบุคคล องค์กร ภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับมิติทางสุขภาพ เพราะหากมีสิทธิแล้วแต่ไม่มีหน้าที่ ก็จะไม่นำมาซึ่งสภาพบังคับ ประการต่อมาคือการกำหนดมิติเรื่องความสัมพันธ์ขององค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนการกำหนดให้มีระบบการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ ว่าทุกมิติที่กล่าวไปข้างต้นนั้นดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่เพียงใด นอกจากนี้ยังต้องมีการเพิ่มกระบวนการการมีส่วนร่วมให้ประชาชนและทุกภาคส่วนสามารถกำหนดสุขภาพของตนเองได้

ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ได้มีการระบุถึงระบบสาธารณสุขไว้ค่อนข้างครอบคลุมแล้วในหลายมาตรา ได้แก่ มาตรา 43 ระบุถึงสิทธิสุขภาพด้านชุมชน, มาตรา 47 ระบุถึงสิทธิด้านบริการสาธารณสุขพื้นฐาน,  มาตรา 48 สิทธิของมารดาและเด็ก, มาตรา 49 ระบุถึงสิทธิบริการสุขภาพของผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส, มาตรา 55 ระบุว่ารัฐต้องจัดระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ โดยส่งเสริมการป้องกันโรค การสร้างเสริมสุขภาพและการควบคุมโรค

“ประเด็นคือส่วนตัวไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องกฎหมาย รัฐธรรมนูญเขียนไว้ก็เป็นเพียงหลังคาบ้านใหญ่ๆ แต่เรามีสิทธิ์ที่จะออกแบบและทำ ทั้งต้องยอมรับว่าระบบสาธารณสุขของไทยมีความล้ำหน้ากว่ากลุ่มประเทศอาเซียนไปพอสมควร โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ และยังมีท้องถิ่นที่กำลังเข้มแข็งที่จะเข้ามาดูแลบริการด้านปฐมภูมิ  มันจึงเหลือเพียงว่ารัฐบาลที่จะเข้ามากับรัฐมนตรีที่จะมาดู จะสามารถเข้ามาปรับปรุงระบบตรงไหน อย่างไร ซึ่งต้องมาดู Pain Point อื่นๆ ของเรา เช่น เรื่องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ยังมีปัญหาในเชิงคุณภาพ ทั้งเรื่องการส่งต่อ เรื่องค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลที่เป็นหนี้มากขึ้น เราก็ต้องมาร่วมกันแก้สิ่งเหล่านี้” นายสาธิตกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลยกเว้น 'ค่าไฟ' พ.ย. 420 ล้าน เยียวยาน้ำท่วมสงขลา

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา เดินหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบันสามารถนำประชาชนกลับบ้านไปได้กว่า 90%

มูลนิธิคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มอบเงินให้สภากาชาดไทย ช่วยน้ำท่วมภาคใต้

รศ.นายแพทย์พินิจ กุลละวณิชย์ ประธานกรรมการมูลนิธิคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มอบเงินบริจาคจำนวน 306,000 บาท (สามแสนหกพันบาทถ้วน) ให้นายเตช บุนนาค เลขาธิการ สภากาชาดไทย รับมอบ เพื่อ “รวมน้ำใจ ช่วยภัยน้ำท่วมภาคใต้ กับสภากาชาดไทย” ช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา พี่น้องผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมภาคใต้