'สมคิด' ลั่น ผลิตอัศวินขี่ม้าขาวกี่คนก็ช่วยไม่ได้ กระตุก 4 สถาบัน เป็นเสาหลักของแผ่นดิน

สมคิด” ออกโรงร่ายยาวชุดใหญ่  แนะบริหารการคลัง 4 สถาบันต้องเป็นเสาหลักของแผ่นดิน ใครก็เขย่าไม่ได้ เตือนเร่งกู้ความเชื่อมั่นธรรมาภิบาลประเทศ สร้างพลังฝ่าวิกฤต ไม่ใช่ใครคนหนึ่งมาแบกรับ  ระบุผลิตอัศวินกี่ม้าขาวกี่คนก็เหมือนเดิม

 15 พ.ค.2565 –  เมื่อเวลา 14.30 น. ที่โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กทม. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ ปิดหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (LFC) รุ่น 12 ที่จัดโดยมูลนิธิสัมมาชีพ  โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า การบรรยายครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีเต็มนับตั้งแต่พ้นตำแหน่ง เพราะคิดว่าเมื่อออกจากหน้าที่แล้วไม่อยากที่จะพูดอะไรที่กระทบกระทั่งกับคนที่เขาทำงานอยู่โดยที่ไม่ตั้งใจ ทั้งนี้ มูลนิธิสัมมาชีพได้รับอิทธิพลมาจาก นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส โดยเมื่อสัปดาห์ก่อนได้พบกับ นพ.ประเวศ ท่านเป็นปราชญ์ที่รู้จริงซึ่งในสังคมมีไม่มาก เป็นคนดีที่ไม่เคยเสื่อมเลยในวัย 91 ปี ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม  2 ปีเต็มที่ห่างออกไปซึ่งไม่ยาวนัก หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปทั้งภายนอกและภายใน และเป็นพัฒนาการที่นำไปสู่สิ่งที่น่าห่วงใย คิดว่าเราทุกคนต้องตระหนักเอาไว้ ร่วมกันคิดว่าจะช่วยกันอย่างไรในอนาคตข้างหน้า ตนเองอาจจะคิดแล้วไม่ถูกต้อง อาจจะมีผิดพลาด แต่ให้ถือว่าตนเองมีจิตใจบริสุทธิ์ที่หวังดี  

นายสมคิด กล่าวว่า ข้อห่วงใยของตนเองคือ สิ่งที่โลกกำลังเผชิญอยู่นี้มีความเสี่ยงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ มีความไม่แน่นอนที่มากขึ้นเรื่อยๆ เมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอนนั้นมันหนาขึ้นทุกๆวัน จนกระทั่งจะจินตนาการอนาคตยากมาก เพื่อความไม่ประมาท ทุกคนจึงต้องเตรียมตัว โดยเฉพาะผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง สำหรับภาวะโควิดนั้น เราเคยคาดกันว่า ถ้ามีวัคซีนที่ดี มีการบริหารจัดการที่ดี มีการฉีดวัคซีนในอัตราที่สูง วันหนึ่งข้างหน้าไม่นานนักมันควรจะยุติได้ แต่ปรากฏว่าถึงวันนี้จริงๆ แล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะยุติได้ ภาวะโควิดมันมีผลทำให้เศรษฐกิจกระทบหนักมาก กระบวนการผลิต จ้างงาน ชีวิตความเป็นอยู่ ล้วนแล้วถูกกระทบทั้งสิ้น ฐานะการเงินการคลังทุกประเทศตรึงไปหมด เพราะต้องเอามาดูแลความเป็นอยู่ประชาชน สิ่งเหล่านี้มองไปข้างหน้าไม่มีวี่แววว่าจะจบตรงไหน 

นายสมคิด กล่าวว่า เกือบทุกประเทศขณะนี้ตัดสินใจไม่ล็อกดาวน์ ประกาศว่าจะอยู่กับมัน ให้มันเป็นโรคประจำถิ่นโดยที่ไม่มีการบริหารจัดการ แปลว่าตัวใครตัวมัน ใครอ่อนแอก็ติดแล้วตาย ใครแข็งแรงติดแล้วก็รอด ซึ่งจริงๆ แล้วต้องบริหารจัดการมัน การตรวจคัดกรองต้องเข้ม มาตรการต้องมี วัคซีนต้องพอ การฉีดต้องไปให้ทั่วถึง ใครติดต้องมียา ใครอาการหนักต้องอยู่สถานพยาบาล ไม่ใช่ปล่อยอยู่กันอย่างเคร่งเครียด อนาคตข้างหน้าเกือบทุกประเทศรวมถึงไทยต้องอยู่กับมัน หวังว่าการบริหารจัดการต้องเข้มข้น ตัวเลขที่ประกาศต้องเชื่อถือได้ สิ่งเหล่านี้สำคัญมากเพราะไม่รู้จะอยู่กับมันอีกนานเท่าไหร่ 

นายสมคิด กล่าวว่า ขณะที่ภาวะสงครามในยูเครน มันคงไม่ยุติกันง่ายๆ เพราะไม่ได้เกิดขึ้นโดอุบัติเหตุ แต่เป็นสงครามที่แต่ละฝ่ายมีเป้าประสงค์ มีความตั้งใจของตนเอง ฉะนั้น ตราบใดเป้าประสงค์เหล่านั้นยังไม่บรรลุก็ยากที่จะบอกว่ามันจะจบเมื่อไหร่ เมื่อภาวะสงครามบวกกับภาวะโควิดมันจึงสร้างผลกระทบที่รุนแรงมาก ใครจะไปรู้ว่าสงครามใหญ่จะเกิดขึ้นหรือไม่ ยูเครนเป็นแค่หมากการเมืองตัวแรกของการต่อสู้เชิงภูมิรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากๆ คือ ผลกระทบทางสังคมและการเมือง เมื่อไหร่ที่เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ คนที่ถูกกระทบมากที่สุดคือ คนที่ยากจน และเมื่อไหร่ที่ดูแลเขาไม่ทัน มันจะถูกนำใช้ในทางการเมือง เราเห็นการเปลี่ยนแปลงมาแล้วในหลายประเทศ เช่น ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ถ้าหากโควิดกับสงครามยังไม่จบ เขาบอกว่าอย่าเพิ่งนับศพทหาร อย่าประมาทถ้าเราเป็นผู้ที่ดูแลบ้านเมือง ต้องคิดล่วงหน้าหนึ่งก้าวเสมอ เพราะเป็นหน้าที่ของคุณ 

นายสมคิด กล่าวว่า สิ่งที่ประเทศเรากำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และคอนโทรลไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีความเสี่ยงสูง การบริหารจัดการต้องเข้มข้น ต้องเอาใจใส่ ต้องคิดล่วงหน้ามากกว่าประชาชนธรรมดา แต่ละท่านที่กำกับดูแลในหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพราะมันเป็นหน้าที่ ลองนึกภาพดูแล้วกัน ตั้งแต่มีโควิด 2 ปีแล้ว รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช่จ่ายอย่างมากในการดูแลประชาชน ประคองเศรษฐกิจให้พออยู่ได้

“แต่หากข้างหน้ายังมองไม่เห็นทางออกชัดเจน แปลว่าจากวันนี้เป็นต้นไป เราต้องพยายามดูว่าจะใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร ทำอย่างไรให้เม็ดเงินทุกเม็ดสามารถฉุดประเทศให้พ้นจากหลุมที่มันดูดเราอยู่ได้ ทำให้ธุรกิจลุกขึ้นมาเดินต่อได้ สถานปัจจุบันมันไม่ปกติ จะบริหารแบบสถานการณ์ปกติไม่ได้ ต้องหากลไกที่ไม่ปกติ กลไกนอกรูปแบบ คิดนอกกรอบเพื่อให้เขาอยู่ได้ จำเป็นอย่างยิ่งและท้าทายผู้ที่ทำอยู่นี้” นายสมคิด ระบุ   

นายสมคิด กล่าวต่อว่า ประเทศเราเป็นประเทศขนาดเล็ก มีทรัพยากรจำกัด การบริหารงบประมาณแผ่นดินจึงสำคัญ จะใช้วิธการบริหารการคลังแบบปกติไม่ได้ และในการบริหารการคลังของประเทศ มีผู้แทนอยู่ 4 สถาบันหลัก ประกอบด้วย สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในภาวะปกติ 4 สถาบันนี้พยายามประนีประนอมกับภาคการเมือง แต่ในภาวะที่ไม่ปกติ มีภาวะที่หนักหน่วง 4 สถาบันต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ เป็น 4 เสาหลักของแผ่นดิน ถ้าท่านเสียงแข็งใครก็เขย่าท่านไมได้ เชื่อตน การจัดทำงบประมาณต้องดูอะไรสำคัญก่อนหลัง อะไรที่ไม่สำคัญเอาไว้ก่อน แม้งบผูกพันสามารถชะลอหรือแช่แข็งได้ เพราะปัจจุบันภาระเราจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากดอกเบี้ยสูง 

 “4 เสาหลักอุดมด้วยคนเก่ง ท่านต้องยืนแข็งและมีทิศทางร่วมที่ชัดเจนว่าจะเอาประเทศไปทางไหน ต้องกล้าคิดกล้าเสนอ จะรอให้การเมืองคิดอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเขาฝากหวังไว้ที่คุณ เวลาแปรญัตติ ถ้าคุณแข็งจริงมือที่มองไม่เห็นก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพลังของท่านยิ่งใหญ่นัก ผมอยากจะบอกว่าต้องร่วมกัน ทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการ จัดลำดับให้ดี เพราะข้างหน้าไม่รู้จะจบที่ไหนอย่างไร แต่รู้แน่ๆ จากวันนี้ถึงวันนั้นคือ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” นายสมคิด ระบุ

นายสมคิด กล่าวว่า เรามาถึงจุดที่ไม่น่าเชื่อจะเกิดขึ้น จริงเท็จเราไม่รู้ แต่ว่าความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อธรรมาภิบาลของประเทศมันค่อยๆ อ่อนลง ไปมีผลกระทบต่อความเชื่อ ทั้งความเชื่อมั่น ความเชื่อถือ และความเชื่อใจ สามตัวนี้ต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อใจ ความเชื่อใจว่าจริงใจหรือเปล่า มีอะไรแอบแฝงหรือไม่ ถ้าไม่มี แล้วมันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน รัฐจะทำงานได้ยากมาก จะถูกตั้งคำถามตลอดเวลา ทำอะไรจะถูกตั้งคำถาม สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในต่างประเทศ ถ้ามากๆ ขึ้นถึงจุดหนึ่ง ทำอะไรก็ติดขัด ผิดไปหมด ต้องรีบแก้ไข ต้องรีบสร้างความเชื่อสามตัวนี้ให้กลับคืนมาให้ได้ ถ้าไม่สามารถทำได้มันจะนำไปสู่สิ่งที่ขาดพลังในการแก้ไขปัญหา การขับเคลื่อนจะไม่แข็งแรงเท่าที่ควร จะทำได้ยาก เพราะมันขาดความเชื่อถือ ความเชื่อใจ ในที่สุดเกิดเป็นรัฐที่อ่อนแอ คนรับกรรมคือประชาชนที่จะลำบาก ทั้งหมดไม่ได้มีเจตนาที่จะว่าใครเลย แต่เป็นสิ่งที่เราเห็น และอนาคตต้องเผชิญกับมัน หมอกมันหนาจัด ความเสี่ยงภัยมันสูง พลังของประเทศต้องแข็งแรงพอที่จะฝ่าฟัน ภาวะอย่างนี้ต้องรีบเยียวยา ไม่ใช่ให้ใครคนใดคนหนึ่งมาแบกรับ เป็นไปไม่ได้ จะผลิตอัศวินขี่ม้าขาวมากี่คนทุกอย่างก็เหมือนเดิม ดีไม่ดีแย่กว่าเดิม  

นายสมคิด กล่าวว่า สิ่งที่จะทำให้เกิดได้ ประการแรกคือ การเมือง ที่คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ถ้าการเมืองดี ประเทศดี การเมืองอ่อนแอ ประเทศลำบาก ประชาชนลำบาก ตอนไปพบนพ.ประเวศ ท่านบอกการเมืองในอนาคตหากมีความขัดแย้งแตกแยกจะเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐ น่าจะพักไว้ก่อน การเมืองที่มีแนวทางยืดหยุ่น เป็นทางสายกลาง ไม่เน้นความขัดแย้ง ไม่เน้นการเป็นปฏิปักษ์ ให้ทุกคนมีโอกาสพูดคุยแก้ไขสถานการณ์ ไม่มีขั้ว ไม่มีฝ่าย เป็นทางออกของประเทศได้ ท่านยังบอกอีกว่า แนวทางสายกลางไม่ใช่ไม่มีจุดยืน แต่เป็นจุดยืนของชาวพุทธ ที่ไม่ให้คนเราขัดแย้ง ท่านเชื่อว่าแนวทางสายกลางคือแนวทางที่ถูกต้อง คนจะให้การสนับสนุน เพราะขณะนี้คนไม่ต้องการความขัดแย้งแล้ว นอกจากนี้ สภาวะผู้นำการเมืองมีความสำคัญอย่างยิ่ง และผู้นำแต่ละสถานการณ์มีความแตกต่างกัน ในยามไม่ปกติต้องมีความชัดเจนในภาพของปัญหาและแนวทางแก้ไข แต่ถ้ามีเจตจำนงต่อรอง จัดสรรผลประโยชน์อำนาจ เลือกตั้งกี่ครั้งก็ยังเป็นภูเขาที่เขยื้อนไม่ได้ ต้องเอาคนที่ดีที่เก่งมาช่วยกัน และที่สำคัญที่สุดภาคประชาชนต้องเข้มแข็ง 

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังปาฐกถาเสร็จสิ้น นักเรียนหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง ของมูลนิธิสัมมาชีพ ได้มายื่นต่อแถวรอมอบดอกกุหลาบให้แก่นายสมคิด ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบนายสมคิดถึงกรณีที่พรรคสร้างอนาคตไทย จะเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่นายสมคิดโบกมือปฏิเสธที่จะตอบคำถาม โดยระบุว่า วันนี้ไม่สัมภาษณ์เรื่องการเมือง. 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ ยัน ร่วมโต๊ะอาหารเที่ยงกับ 'เอกนัฏ'

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันกับนายกรัฐมนตรีและคณะ

'ทวี' ยันไม่เคยได้ยิน เพื่อไทยจะเอาตำแหน่งประธานสภาฯ

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีมีกระแสว่าพรรคเพื่อไทยจะขอเก้าอี้ประธานสภา ว่า รัฐธรรมนูญได้มีการเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนถึงการเข้าดำรงตำแหน่งประธานสภาว่าเป็นเรื่องของสภา ส่วนเรื่องคณะรัฐมนตรีนั้นเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี

'ไชยา' ลั่นปรับครม.กี่ครั้งก็ตาม ก.เกษตรฯต้องอยู่กับเพื่อไทย

นายไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังมีรายชื่อถูกปรับออก ว่าตนทราบตามข่าว ไม่ได้หวั่นไหวอะไร และ 7 เดือนที่ผ่านมา ทำหน้าที่ในกรอบในข้อจำกัดของงบประมาณ ถ้าหากเป็นไปตามนโยบายของผู้ใหญ่ตนก็ไม่ขัดข้อง ก็แล้วแต่

'เศรษฐา' เผยไต๋นั่งควบกลาโหม ทุกอย่างมีโอกาสขึ้นอยู่กับเงื่อนเวลา

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในที่ประชุมได้มีรัฐมนตรีซักถามถึงกระแสข่าวการปรับ ครม.หรือไม่ ว่า ไม่มีใครถามอะไรเลย ทุกคนยังทำงานอย่างต่อเนื่อง