'สว.เสรี' ภาวนา 'เศรษฐา' อยู่ถึงวันซักฟอกรัฐบาล

‘เสรี’ ภาวนาให้ ‘ครม.เศรษฐา’ อยู่ถึงวันซักฟอก ม.153 พ้อได้เวลาน้อยไป จ่อปรับลดผู้อภิปราย คาดอาจมีแรงกระเพื่อมหลัง สว. หมดวาระ

11 มี.ค. 2567 – ที่รัฐสภา นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงกรณีการเตรียมความพร้อม สำหรับการอภิปรายของ สว. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 ว่า มีความพร้อม จากการที่เราได้ให้ สว. ได้รับทราบประเด็นและญัตติที่เราเสนอประเด็นสำคัญ เพื่อให้ สว. ได้ประชุมเกี่ยวกับการให้รัฐบาลมาชี้แจงเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน มีสมาชิกประมาณ 30 คน ที่แสดงความจำนงขออภิปราย แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของระยะเวลา จากที่ขอรัฐบาลไป 2 วัน ซึ่งรัฐบาลกำหนดเวลาให้อภิปราย 12 ชั่วโมง จึงทำให้ระยะเวลาที่กำหนดไว้มีปัญหา

เราจึงได้หารือร่วมกันว่า ท่านใดที่มีประเด็นเดียวกันหรือคล้ายกัน ก็อาจจะมอบหมายให้ท่านอื่นเป็นคนอภิปรายคนเดียวในประเด็นนั้น และมอบเวลาให้กับคนที่มีข้อมูลมากกว่า เพื่อให้การอภิปรายมีประโยชน์กับที่ประชุม รัฐบาล และพี่น้องประชาชน โดยขณะนี้มีผู้อภิปราย 33 คน ซึ่งทำให้เวลาแยกย่อยมากไป แต่ก็ยังมีเวลาอยู่ ในการทำความเข้าใจ และตกลงร่วมกันว่า จะทำอย่างไรให้ได้สาระมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งคงจะต้องมีการขอความร่วมมือ เพื่อปรับลดจำนวนคน

“ถ้ารัฐบาลเห็นความสำคัญ ใจกว้างหน่อย ก็น่าจะจัดเวลาให้ได้สัก 2 วัน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ได้ประโยชน์กับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเอง เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของรัฐบาล เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน จริงๆ ไม่น่าไปจำกัดอะไรกันมากมาย“ นายเสรี ระบุ

นายเสรี กล่าวว่า ได้ขอเวลาเพิ่มไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่รัฐบาลยืนยันอย่างนี้ จึงทำให้มีเวลาน้อยเกินไป ซึ่งเราก็ได้บอกรัฐบาลไปว่า การที่วุฒิสภาขอเปิดอภิปรายทั่วไป เป็นเรื่องของการนำประเด็นปัญหาการบริหารราชการแผ่นดินมาพูดคุยกันในสภา รัฐบาลน่าจะให้ความสำคัญ แต่รัฐบาลเองก็ยังไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ตอนแรกก็พยายามที่จะหาคนมาติดต่อ เพื่อไม่ให้สามารถลงชื่อได้ครบ แต่พอได้ชื่อครบ ก็ไปกำหนดเวลาพูด ข้อสำคัญคือพยายามจะดึงเวลาให้ไกลออกไปอีก

“จริงๆ ถ้าเห็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องของบ้านเมือง รัฐบาลต้องขวนขวาย รีบประชุม รีบนำประเด็นข้อเสนอเอาไปแก้ไขปัญหา เอาไปบริหารประเทศ แต่นี่กลายเป็นให้ความสำคัญน้อย จึงทำให้รัฐบาลเสียประโยชน์ เสียโอกาส เสียความน่าเชื่อถือ” นายเสรี กล่าว

ส่วนจะถือเป็นการทิ้งทวนได้หรือไม่นั้น ก็อาจจะบอกได้ เพราะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายแล้ว จะทิ้งทวน ทิ้งหอก ทิ้งดาบอะไร ก็ถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เราพยายามทำให้ดีที่สุด ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราไม่ค่อยมีโอกาสแบบนี้ เพราะกว่าสมาชิกจะทำความเข้าใจ ก็ไม่ง่าย ถ้าเข้าใจกันง่ายๆ คงยื่นไปตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ รัฐบาลควรต้องเข้าใจ สว.เองก็ต้องเข้าใจ ไม่ใช่ยื่นอภิปราย แล้วจะกลายเป็นล้มรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องเหล่านั้นเลย

เมื่อถามถึงกรณีที่รัฐบาลอาจจะอ้างได้ว่า ยังไม่ได้ใช้งบประมาณนั้น สว.จะมีการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องใช้งบประมาณหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า เรื่องนี้รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้อยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับเรื่องใช้งบประมาณหรือไม่ เพียงแต่มีคนในรัฐบาลเอามาอ้างว่า ที่ยังไม่ทำ เพราะไม่มีงบประมาณ มันไม่ใช่ รัฐบาลสามารถใช้งบประมาณตามกฎหมายเดิมได้อยู่แล้ว พอกฎหมายใหม่ออกมา รัฐบาลก็เอามาใช้ได้ จำนวนเงินก็จำนวนเงินเดิม เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ถ้าพูดอย่างนี้ คนไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ไปเชื่อคนที่อ้าง เป็นคนละเรื่อง แม้ไม่มีงบประมาณ แต่มีกฎหมายที่จะสามารถจัดงบฯ ได้อยู่แล้ว

“เรื่องที่อยากพูดถึงมากที่สุด จากขอบข่ายการอภิปรายทั้ง 7 ประเด็นนั้น มีเรื่องที่สมาชิกแสดงความจำนงไว้มากที่สุด คือเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง ความลำบากของประชาชน ที่รัฐบาลจะแก้ปัญหาด้วยการแจกเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นการแก้ผิดทาง” นายเสรี ระบุ

เมื่อถามว่า มีการประเมินภายหลังจาก สว.หมดวาระ ที่อาจมีแรงกระเพื่อมไปถึงขั้นเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า “ก็อาจถูกมองได้ การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี มีการพูดกันมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว มีนายกรัฐมนตรี 2 คนบ้าง 3 คนบ้าง ผมก็ยังภาวนาให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันอยู่ให้ถึงวันที่ 25 มี.ค. ถ้าอยู่ก็จะได้อภิปรายกัน ถ้าเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ก่อนหน้าวันที่ 25 มี.ค. คณะรัฐมนตรี ก็ต้องหมดไป การอภิปรายก็อาจจะสิ้นผลไป“

อย่างไรก็ตาม การเมืองตอนนี้กระเพื่อมอยู่ทุกวัน เพราะประเด็นปัญหาในการบริหารประเทศมีเยอะ แต่รัฐบาลแก้อะไรที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ สิ่งที่พูดมาเป็นเรื่องการชี้แจงที่สัมผัสไม่ได้ มีแต่พูดกันรายวัน แต่ไม่เห็นมีอะไรชัดเจน ที่ชัดเจนที่สุดตอนนี้ คือสถิติไปต่างประเทศ เกือบ 200 วัน ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่า แทนที่จะเอาเวลามาบริหารประเทศ เอาเวลามาทำประโยชน์ให้กับประชาชน มาพูดคุยมาทำความเข้าใจให้กับสภา กลับทำใหัเสียโอกาส เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์มากๆ ความเชื่อถือก็จะเสื่อมลง เพราะไม่เห็นความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาประเทศ

”ตรงนี้ก็อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีก็ได้ แต่ก็ต้องอยู่ที่คนที่มีกำลังในทางการเมืองเป็นคนตัดสินใจ เห็นอยู่แล้วว่าไม่ใช่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันเป็นคนตัดสินใจ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันอยู่ด้วยจมูกคนของคน เพราะฉะนั้น ก็ขึ้นอยู่ที่คนที่มีอำนาจจริงๆ ว่าจะตัดสินใจอย่างไร“ นายเสรี กล่าว

ส่วนจะต้องมีการจำกัดขอบเขตไม่ให้อภิปรายถึงบุคคลภายนอกหรือไม่ เนื่องจากสมาชิกหลายคนอยากจะอภิปรายถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น นายเสรี กล่าวว่า การพูดเรื่องเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อคนนอกด้วยซ้ำไป เพราะหลักการ คือเรื่องกระบวนการยุติธรรม ที่เป็นหลักสำคัญของบ้านเมือง ถูกกระบวนการทางการเมืองเข้าไปแทรกแซง และทำให้การใช้กฎหมาย การให้ความเป็นธรรมมีหลายมาตรฐาน พูดแค่นี้ก็เข้าใจ ก็มองเห็นแล้วว่า ปัญหาของประเทศ และกระบวนการยุติธรรมอยู่ตรงไหน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เศรษฐา' เฉ่ง 'อธิบดีกรมโรงงาน' ลงพื้นที่ช้า เรียกปลัด-รมว.อุตฯ คุยหลังไมค์เหตุไฟไหม้โกดังระยอง

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ตรวจติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหาเหตุเพลิงไหม้โรงงานเก็บกากสารเคมีอุตสาหกรรม บริษัท วินโพรเสส จำกัด ตำบลบ้านค่าย อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง โดยทันทีที่นายกฯมาถึง ได้รับฟังรายงานการดำเนินการในพื้นที่​

นายกฯ ชูเมืองจันทบุรี โมเดลพัฒนาผลไม้ไทย กำชับพาณิชย์ดูแลราคาไม่ให้ตก

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เดินทางถึงบริษัท ดรากอน เฟรช ฟรุท จำกัด ตำบลมะขาม อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี เพื่อตรวจติดตามการคัดบรรจุทุเรียนคุณภาพและการแปรรูปทุเรียน

‘เศรษฐา’ ลุยสวน ชิมทุเรียน 3 สายพันธุ์

เมื่อเวลา 10.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เดินทางด้วยรถยนต์อัลพาร์ด สีดำ ทะเบียน 8 กผ 1127 กรุงเทพมหานคร ถึงสวนนวลทองจันทร์ ตำบลมาบไพ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี เพื่อตรวจติดตามการผลิตทุเรียนคุณภาพปลอดภัยมูลค่าสูง และรับฟังปัญหาจากเกษตรกร

พนัส อดีตสว.-อดีตสสร. คัดเลือกสภาสูง 2567 ฝ่ายประชาธิปไตยมีสิทธิลุ้น

ความเคลื่อนไหวการได้มาซึ่ง"สมาชิกวุฒิสภา"(สว.) ชุดใหม่ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ....