'ถาวร' ฟันธง 'พิชิต' ลาออก ศาลรธน.ต้องวินิจฉัยคุณสมบัตินายกฯ เพื่อเป็นบรรทัดฐาน

22 พ.ค. 2567- นายถาวร เสนเนียม สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ภายหลังนายพิชิต ชื่นบาน ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า

"ถาวร" เชื่อ แม้ "พิชิต"ลาออกศาลรัฐธรรมนูญต้องดำเนินการต่อ

กรณีของ สว 40 คน ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรี และ นายพิชิต ชื่นบาน กรณีขาดคุณสมบัติฯ ต่อมานายพิชิต ชื่นบาน ลาออกเพื่อไม่ต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีต่อไป หรือด้วยการอ้างเหตุผลอื่นก็ตาม ผมนายถาวร เสนเนียม มีความเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญยังต้องพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ต่อไปตามเหตุผลดังต่อไปนี้

เห็นว่ากรณีที่มีการร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติของนายพิชิต ชื่นบาน และนายกเศรษฐานั้น

แม้นายพิชิตชื่นบานจะลาออกไปแล้วซึ่งโดยปกติศาลรัฐธรรมนูญมักจะจำหน่ายคดีเพราะผู้ถูกร้องได้พ้นจากตำแหน่งไปจึงไม่เป็นประโยชน์ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องไว้ไต่สวนต่อไป
แต่ในกรณีนี้เป็นการร้องให้วินิจฉัยคุณสมบัติของนายพิชิต ต่อเนื่องไปถึงความซื่อสัตย์สุจริตและมาตรฐานทางจริยธรรมของนายกรัฐมนตรีที่จะต้องมีคุณสมบัติตามข้อนี้ด้วย

ดังนั้นแม้นายพิชิตจะลาออกไปแล้วคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีก็จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่ามีความซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมตามคำร้อง ของผู้ร้องหรือไม่
เมื่อคำนึงถึงบทบาทและหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีผู้เป็นประมุขฝ่ายบริหารผู้ที่สภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้งเพื่อให้ทำหน้าที่ สูงสุดของฝ่ายบริหาร แสดงว่าปวงชนชาวไทยยินยอมให้นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่นั้น

ดังนั้น คุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีจึงต้องเป็นแบบอย่างทั้งในทางความซื่อสัตย์สุจริตและเป็นผู้มีมาตรฐานทางจริยธรรม

การพิสูจน์คุณสมบัติของนายกตามคำร้อง ของผู้ร้องจึงต้องพิสูจน์ กันต่อไปว่า ผู้ที่ตนแต่งตั้งในครั้งที่ถูกร้องนี้ตนได้แต่งตั้งบุคคลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามมาตรา 160 แห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่านายกรัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการให้สินบนเจ้าหน้าที่ศาลในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับนายทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง/ใช้ให้นายพิชิตให้ทำหน้าที่ทนายทนายความ และนายพิชิตเองก็ถูกเพิกถอนใบอนุญาตทนายความ ข้อเท็จจริงจึงยุติเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตของนายพิชิตได้แล้วว่าไม่เพียงพอที่จะเป็นรัฐมนตรีได้ จึงได้ชิงลาออกไปเพื่อหวังยุตติคดีไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวน

เมื่อข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ทราบกันทั่วไป เกี่ยวกับประวัติของนายพิชิตในด้านความซื่อสัตย์และมาตรฐานทางจริยธรรมที่ติดลบ เป็นการง่ายที่นายกรัฐมนตรีจะใช้ใช้ความรู้ความสามารถกลั่นกรองวินิจฉัยเสียก่อนเสนอทูลเกล้าให้ มีพระบรมราชโองการ แต่งตั้งนายพิชิต
อีกทั้ง อำนาจหน้าที่ของ นายกรัฐมนตรีไม่จำกัดเฉพาะการเสนอเพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีแต่ยังมีหน้าที่ พิจารณาและนำเสนอแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงทั่วประเทศจำนวนมากในแต่ละปี

นายกรัฐมนตรีจึงต้องมีความรู้และความรอบคอบ ประกอบความซื่อสัตย์สุจริตและมาตรฐานทางจริยธรรมระดับสูงในการนำเสนอบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งต่าง ๆ จะอ้างอิงความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาเพียงบางส่วนแต่เมื่อนายกไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่กลั่นกรองคุณสมบัติบนพื้นฐานความซื่อสัตย์สุจริตและมาตรฐานทางจริยธรรมที่บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีควรจะมี ย่อมเป็นการแสดงออกถึงความไม่ซื่อสัตย์ ความไม่สุจริต

จึงตกเป็นผู้ประพฤติฝ่าฝืนจริยธรรมเสียเอง ดังนั้น พฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีที่แต่งตั้งนายพิชิต ซึ่งง่ายที่วิญญูชนทั่วไปสามารถจะวินิจฉัยได้ว่า

เป็นผู้ไม่ซื่อสัตย์สุจริตและไม่มีมาตรฐานทางจริยธรรม จึงสมควรที่จะถูกวินิจฉัยโดยศาลรัฐธรรมนูญต่อไป เพื่อเป็นบรรทัดฐานของผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี

เพราะการแต่งตั้งรัฐมนตรีเป็นการใช้อำนาจทางการเมืองและทางกฎหมายที่เป็นแบบอย่างให้แก่ข้าราชการประชาชนและเยาวชนหากยอมรับให้นายกรัฐมนตรีสามารถเสนอแต่งตั้งใครก็ได้
หรือสามารถแต่งตั้งผู้ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ผู้ไม่มีมาตรฐานทางจริยธรรมได้ตามอำเภอใจได้
รัฐธรรมนูญก็จะถูกละเมิดคุณธรรมและศีลธรรมก็จะไม่ใครคำนึงถึงอีกต่อไป

เมื่อนายกรัฐมนตรีขาดคุณสมบัติตามมาตรา 160 จึงต้องพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 170 ตามรัฐธรรมนูญครับ

#พิชิต #พิชิตลาออกแล้ว #ถาวร #ศาลรัฐธรรมนูญ #เศรษฐา

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ภูมิธรรม' ยันศาลชี้ชะตา 'เศรษฐา' 14 ส.ค.เป็นไปตามกระบวนการ อย่าโยงภาพปฏิญญาเขาใหญ่

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน

ยกระดับผลผลิตทางการเกษตร 6 เดือนแรก ส่งออกข้าวได้ 4.79 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 17.98%

นายกฯ ชื่นชมการทำงานยกระดับผลผลิตทางการเกษตร ยอด 6 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกข้าวได้ 4.79 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 17.98% รวมมูลค่าการค้าถึง 1.1 แสนล้านบาท