"ธนาธร" เรียกร้อง กกต. ออกระเบียบเลือก สว.ใหม่ทันที หลังศาลปกครองสั่งเพิกถอนระเบียบบางข้อ-แสดงเจตนารมย์ ไม่ยื่นอุทธรณ์ แนะผู้สมัครหาข้อมูล-ทำการบ้าน ก่อนเลือก พร้อมชวน ปชช.ร่วมสังเกตการณ์
27 พ.ค.2567 - ที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า แถลงถึงกรณีการรับสมัคร สว. ว่า จากการการรับสมัคร สว. ที่จบลงไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังมีประเด็นสำคัญที่ต้องตามต่ออีก คือ เรื่องที่ 1.จากกรณีวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยเมื่อมีการเปิดรับสมัคร สว.แล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็มีการออกระเบียบว่าด้วยการแนะนำตัวผู้สมัคร สว. ซึ่งในระเบียบนั้น ระบุว่า ผู้สมัครสามารถแนะนำตัวเองได้ตามแบบฟอร์มที่ กกต.กำหนดเท่านั้น ไม่สามารถแนะนำตัวแบบอื่นได้ และห้ามไม่ให้ผู้สมัครแนะนำตัวกับบุคคลทั่วไป แต่ให้ผู้สมัครแนะนำตัวกับผู้สมัครด้วยกันเองเท่านั้น อีกทั้งยังห้ามให้ผู้สมัครแนะนำตัวผ่านสื่อต่างๆ ด้วย
และมื่อออกระเบียบมาแบบนี้แล้ว ทำให้มีผู้สมัคร 2 กลุ่มที่เห็นว่า ระเบียบของ กกต.ตอนนี้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้สมัคร จึงมีการยื่นร้องต่อศาลปกครองว่า ให้ช่วยวินิจฉัยระเบียบกกต. จากนั้นศาลปกครองจึงมีคำสั่งออกมาว่า ขอให้ กกต.เพิกถอนระเบียบข้อ 7, 8, 11 (2), 11 (3) และให้มีผลย้อนไปตั้งแต่วันที่ประกาศใช้
แต่หากดูตามไทม์ไลน์แล้ว กกต.ยังมีอำนาจในการอุทธรณ์ 30 วัน ซึ่งจะหมดลงในวันที่ 23 มิ.ย. ทำให้ระเบียบนี้จะมีอำนาจบังคับใช้ในการเลือก สว. ระดับอำเภอ และระดับจังหวัด ในวันที่ 9 มิ.ย. และ 16 มิ.ย. เหลือแค่ 3 วันก่อนจะถึงระดับประเทศในวันที่ 26 มิ.ย. หมายความว่า แม้ศาลปกครองจะมีคำสั่งออกมาแล้ว แต่คำสั่งนี้ก็ยังบังคับใช้ไม่ได้จริงๆ หาก กกต.มีการอุทธรณ์ ทำให้การเลือกระดับอำเภอ และระดับจังหวัด ผู้สมัครจะยังไม่สามารถเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ตัวเองกับสาธารณะ หรือพูดถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำในฐานะ สว. รวมถึงแนวคิด และอุดมการณ์ต่างๆ ได้
ตนจึงขอเรียกร้องไปยัง กกต.ให้มีความชัดเจนต่อคำสั่งศาลปกครอง ดังนี้ 1.ขอเรียกร้องให้ กกต.ออกระเบียบใหม่โดยทันที และระเบียบใหม่นั้นต้องสอดคล้องกับคำสั่งศาลปกครอง
2.ขอเรียกร้องให้ กกต.ประกาศเจตนารมย์ว่า จะไม่อุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองนี้ ซึ่งเหตุผลที่ตนเรียกร้องอย่างนี้ ประกอบด้วย 3 เหตุผลคือ 1.หาก กกต.ทำตามข้อเรียกร้องนี้ ผู้สมัครจะสามารถแนะนำ หรือนำเสนอตัวเองได้ในเนื้อหาที่กว้างขึ้น
2.ผู้สมัครจะแนะนำและประชาสัมพันธ์ตัวเองได้ผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะทำให้ช่องทางในการสื่อสารกว้างขึ้น ง่ายขึ้น ทำให้ผู้สมัครมีอำนาจ มีข้อมูลในการตัดสินใจที่มากขึ้น และทำให้การตัดสินใจเลือกผู้สมัครมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3.ประชาชนจะได้ช่วยตรวจสอบ เนื่องจากตามระเบียบของ กกต.เดิม ประชาชนและสื่อมวลชน ไม่มีส่วนร่วมในการเลือก สว.ครั้งนี้เลย ทั้งๆ ที่ สว.เป็นสถาบัน เป็นองค์กรที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาการเมืองไทย
ดังนั้น ถ้าปลดล็อคคำสั่งนี้แล้ว และ กกต.ไม่ยื่นอุทธรณ์ ประชาชนจะเข้าถึงข้อมูลที่มากขึ้น ง่ายขึ้นรวมถึงสื่อมวลชนด้วย สังคมทั้งสังคมจะได้ประโยชน์ และร่วมกันตรวจสอบ ร่วมกันติดตามกระบวนการเลือก สว. ครั้งนี้ เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน อันจะส่งผลให้สุขภาพของประชาธิปไตยดีขึ้น
เรื่องที่ 2 การเชิญชวนผู้สมัคร วันนี้ กกต. ได้ทำเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า สมาร์ทโหวตเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีข้อมูลของผู้สมัคร ทุกอาชีพ ทุกอำเภอ ทั่วประเทศ จึงอยากจะเชิญชวนผู้สมัครทุกคน เข้าไปตรวจสอบและศึกษาข้อมูลของผู้สมัครในอำเภอตัวเอง ศึกษาข้อมูลของทั้งกลุ่มที่ตัวเองลงสมัครและกลุ่มอื่น เพื่อทำการบ้านล่วงหน้า เพราะการลงคะแนนค่อนข้างสำคัญมาก ต่อการคัดเลือกผู้ที่มีความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่ง สว.
เรื่องที่ 3.เชิญชวนพ่อแม่พี่น้องประชาชน เนื่องจากตามระเบียบของ กกต. ฉบับนี้ กีดกันประชาชนจำนวนมากออกจากการเลือก สว.ในครั้งนี้ คนที่มีทุนทรัพย์ 2,500 บาท เป็นค่าสมัครที่แพงเกินไป คนที่มีอายุไม่ถึง 40 ปี ก็ไม่มีคุณสมบัติ ในการลงสมัคร ทำให้ไม่สามารถมีส่วนร่วมในการเลือก สว.นี้ได้เลย
แต่อย่างน้อยที่สุด วันนี้ กกต.ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นผู้สังเกตการณ์การเลือก สว. ในแต่ละระดับได้ ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.นี้ ใกล้อำเภอไหน ไปอำเภอนั้น ลองไปที่สำนักงานเขตของท่านดู ไปติดตามการเลือก สว. ของท่านดูว่า กระบวนการเลือก สว.ทำอย่างไร เพราะการไปนั่งติดตามสังเกตการณ์ จะทำให้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือแทรกแซงระบวนการการเลือก สว. เป็นไปได้ยากขึ้น เช่น การไปซื้อเสียง การจ้างหน้างาน หากมีคนตรวจสอบ ก็จะทำได้ยากขึ้น และจะทำให้ผู้ที่คิดจะทำ กังวลใจมากขึ้น
“เหตุผลที่เรารณรงค์ สว.ประชาชนตั้งแต่ครั้งแรก เราต้องการให้มี สว.คุณภาพ สว.ที่มีอุดมการณ์ สว.ทึ่เข้าไปดำรงตำแหน่งแล้วไม่ขายเสียงตัวเองในการโหวตครั้งสำคัญๆ เพื่อให้ประชาธิปไตยของไทยพัฒนาต่อไปได้“
ทั้งนี้ หากพบความผิดปกติของการเลือก สว. สามารถแจ้งวีวอทช์ (We Watch) ได้ที่สายด่วน 02-1143189
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สส.บริจาคภัยพิบัติเต็มที่ ท้องถิ่นระวังช่วง180วัน!
กกต.ไฟเขียวบริจาคช่วยภัยพิบัติ สส.-สมาชิกพรรค ทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท
กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด
กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก
กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ
กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้
กกต. ขอเชิญชวนสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2568
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ระหว่างวันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และเตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการ ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 1.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 1.2 ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้ง ในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 1.4 วุฒิการศึกษา • สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษา • ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา 2. ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.1 ติดยาเสพติดให้โทษ 2.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 2.3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 2.4 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 39 (1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรือ (4) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.5 อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.6 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล 2.7 เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.8 เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต ต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 2.9 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็น ของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.10 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน 2.11 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง 2.12 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ 2.13 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ 2.15 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2.16 อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2.17 เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.18 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือ ต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี 2.19 เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 2.20 อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.21 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น 2.22 เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมี ส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทน หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.23 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.24 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่ และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.25 ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3. หลักฐานและเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมทั้งหลักฐานการสมัคร ดังนี้ 3.1 ใบสมัครรับเลือกตั้งตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/1 3.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก หรือ รูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร จำนวนตามที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 3.4 สำเนาทะเบียนบ้าน 3.5 ใบรับรองแพทย์ 3.6 หลักฐานการศึกษา 3.7 หลักฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี (2565, 2566, 2567) นับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้ทำหนังสือยืนยัน การไม่ได้เสียภาษี พร้อมทั้งสาเหตุแห่งการไม่ได้เสียภาษีตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/2 4. ค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง 4.1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2,500 บาท 4.2 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 1,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือ Application Smart Vote หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการสายด่วน 1444
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)
กกต. ไม่มีปัญหาถ้าพรุ่งนี้ยุบสภา ก็พร้อมจัดการเลือกตั้ง-ทำประชามติ
เลขาฯกกต. กล่าวถึงความพร้อมการเลือกตั้งอบต. 11 ม.ค.2569 ว่า เราได้ตื่นตัวและสื่อสารไปยังพื้นที่ และหน่วยงานองค์การบริหารส่วนตำบลที่จะทำการเลือกตั้ง รวมทั้งถ้าจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน

