'ดร.ณัฏฐ์' ชี้กรณี 'ทักษิณ-พท.' รอดคดีล้มล้างฯ ไม่ตัดอำนาจ 'กกต.' ไต่สวนยุบพรรคได้

“ดร.ณัฏฐ์” มือกฎหมายมหาชน เผยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่รับคำร้อง "ทักษิณ-พรรคเพื่อไทย” กรณีล้มล้างการปกครองฯ ไม่ตัดอำนาจ กกต.ไต่สวนกรณียุบ 6 พรรคร่วมรัฐบาลได้ แนะเพื่อไทย เป็นนักการเมือง บุคคลสาธารณะต้องใจกว้าง ไม่ใช่เอะอะก็จะฟ้อง "ทนายธีรยุทธ" ที่ทำหน้าที่ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง 
 
24 พ.ย.2567 - ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน กล่าวถึงกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าการกระทำของนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขว่าตนน่าจะเป็นนักกฎหมายมหาชนคนแรกของประเทศที่มีความเห็นทางวิชาการ มุมมองทางกฎหมายว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับคำร้องไว้พิจารณา แตกต่างจากนักวิเคราะห์การเมืองคนอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่มองว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
 
ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่าตนได้ยกเอาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 1/2563 มาให้ความรู้แก่ประชาชนในกฎหมายมหาชนอีกแง่มุมหนึ่งว่า “...ข้อเท็จจริงคำร้อง 6 ประเด็น ที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ผู้ร้อง ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องไว้วินิจฉัย ตรงกับที่ตนให้ความเห็นไว้ทุกประการ ที่ว่า “...บุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายและความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการกระทำนั้น จะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ” 
 
"เป็นการให้ความรู้แก่ประชาชน อันเป็นประโยชน์สาธารณะ ตนไม่ได้มีปัญหากับทนายธีรยุทธ และไม่ได้ไปเอาใจนายทักษิณและพรรคเพื่อไทย เพราะไม่รู้จักคู่ความทั้งสองฝ่าย โดยความเห็นทางวิชาการย่อมแตกต่างกันได้ ทั้งนี้ขึ้น ตัวแปรล้วนมาจากประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญของแต่ละคน ต่างกั นหากจิตใจไม่อคติและเป็นกลาง"
 
ถามว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่รับคำร้องล้มล้างการปกครอง กับคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)รับไต่สวนยุบพรรคเพื่อไทยกับ 6 พรรคร่วม คนละประเด็นกันหรือจะมีผลผูกพันต่อกกต.หรือไม่อย่างไรนั้น ดร.ณัฐวุฒิ อธิบายว่าโดยปกติคำวินิจฉัยในเนื้อหาศาลรัฐธรรมนูญย่อมเด็ดขาด มีผลผูกพันทุกองค์กร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 วรรคสี่  แต่คำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง ต้องแยกพิจารณา 2 ส่วนด้วยกัน
 
ส่วนแรก กรณีข้อกล่าวอ้างในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6   ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ดังนั้นกรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีแล้ว  ย่อมส่งผลให้ผู้ร้องมายื่นคำร้องในประเด็นเดิมซ้ำไม่ได้ เว้นแต่มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานใหม่ ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเสร็จเด็ดขาดและผูกพันทุกองค์กร ตามมาตรา 211 วรรคสี่      
 
ส่วนที่สอง  สำหรับประเด็นที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก(7 ต่อ 2) มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย  เห็นว่า ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง เป็นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้วินิจฉัยในการกระทำของเนื้อหา คำวินิจฉัยนี้ไม่ผูกพันทุกองค์กร
 
นักกฎหมายมหาชน อธิบายอีกว่าประเด็นล้มล้างการปกครองฯและกรณีครอบงำพรรคเพื่อไทย แม้เป็นคนละประเด็นกันก็ตาม แต่คำร้องที่กกต.ไต่สวนยุบพรรคเพื่อไทยกับ 6 พรรคร่วมตามระเบียบกกต.ว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมืองพ.ศ.2566 โดยอยู่ระหว่างสืบสวนหรือไต่สวนของคณะกรรมการที่กกต.แต่งตั้งขึ้น แม้กกต.จะใช้พรป.พรรคการเมือง มาตรา 28 มาตรา 29 และมาตรา 92 โดยอาศัยฐานข้อกล่าวหาครอบงำสั่งการระหว่างนายทักษิณกับพรรคเพื่อไทย ตรงกับประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6 ตามคำร้องของนายธีรยุทธ โดยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในเนื้อหาถึงการกระทำล้มล้างฯ  แม้ประเด็นกรณียุบพรรคจะเป็นคนละประเด็นก็ตาม แต่ข้อกล่าวหานายทักษิณสั่งการรัฐบาลก็ดี เป็นข้อกล่าวหา ข้อ 1 และข้อ 2 หรือกรณีนายทักษิณสั่งการพรรคเพื่อไทยก็ดี เป็นข้อกล่าวหา ข้อ 3 ถึง ข้อ 6 แม้คนละประเด็นกับการยุบพรรค ที่ กกต.ใช้อำนาจในการไต่สวน แต่เป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน ส่งผลต่อน้ำหนักรับฟังพยานหลักฐานในชั้นกกต.
 
ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่าแม้ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.จะอ้างว่าคนละประเด็นและใช้กฎหมายคนละฉบับกันก็ตาม แต่หากพิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 211 วรรคสี่ กรณีที่ศาลยกคำร้องและไม่รับคำร้อง ย่อมมีผลกระทบต่อเนื้อหาโดยตรงที่ กกต.ไต่สวนยุบพรรคเพื่อไทยกับ 6 พรรคร่วม เพราะมีรายละเอียดประเด็นเดียวกัน การกระทำเดียวกัน และข้อเท็จจริงลักษณะเดียวกันที่ฝ่ายผู้ร้องกล่าวอ้าง  โดยศาลได้วินิจฉัยในเนื้อหากรณีล้มล้างฯแล้วว่า ไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอ โดยฝ่ายผู้ร้องอ้างข้อเท็จจริงเดียวกันที่ กกต.รับไต่สวนยุบพรรค แม้กกต.ลุยไต่สวนต่อ เป็นสิทธิและอำนาจของกกต.ย่อมที่กระทำได้เพราะเป็นองค์กรอิสระ 
 
แต่การที่ กกต.วินิจฉัยชี้ขาดให้ยุบพรรค จะต้องมีพยานหลักฐานมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าเป็นการครอบงำ สั่งการพรรค ตามความมุ่งหมายของ พรป.พรรคการเมือง ที่เพิ่งจะบัญญัตินำมาใช้ในปี 2560 โดยเอกสารที่นายธีรยุทธ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญและที่ใช้ในชั้น กกต.เป็นชุดเดียวกัน ทำให้การรับฟังพยานหลักฐานยุบพรรคในชั้น กกต.มีน้ำหนักน้อยเช่นกัน ทำให้เปิดช่องให้ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยกับ 6 พรรคร่วมที่ถูกกล่าวหา หยิบเอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มาหักล้างในชั้นกกต .แม้คนละประเด็นกันก็ตาม แต่พยานหลักฐานชุดเดียวกัน เนื้อหาแห่งคดีเดียวกันและพฤติการณ์การกระทำเดียวกัน ทำให้พยานหลักฐานมีน้ำหนักไม่เพียงพอ
 
ดร.ณัฐวุฒิว่า ส่วนกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทย อาทินายชูศักดิ์ ศิรินิล บอกจะดำเนินการฟ้องร้องนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร นั้นก็ถือว่าเป็นสิทธิตามกฎหมายของพรรคเพื่อไทย หากได้รับความเสียหาย  แต่การพิทักษ์รัฐธรรมนูญเป็นหน้าที่ของประชาชน ที่นายธีรยุทธ ทนายความอิสระ ทำหน้าที่ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง เมื่อพบเห็นทราบการกระทำพฤติการณ์ล้มล้าง ย่อมใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ที่ให้อำนาจไว้ มุมมองตนมองว่าเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตและรัฐธรรมนูญคุ้มครอง การกระทำไม่เป็นความผิด 
 
ทั้งนี้กรณีลักษณะนี้  ศาลอาญาในคดีหมายเลขดำ อ.308/2564 ที่พรรคก้าวไกล ขณะนั้น เป็นโจทก์ฟ้องยื่นฟ้องนายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นจำเลย ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ,หมิ่นประมาทฯและเรียกค่าเสียหาย กรณีกล่าวหาว่า พรรคอนาคตใหม่ล้มล้างฯ หากย้อนกลับไปหากจำกันได้ในคดี “อิลลูมินาติ” โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ที่ 1/2563 ในขณะนั้น ยกคำร้องไม่มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองฯ แล้วนำคดีมาฟ้องกลับแบบนี้เช่นกัน  แต่ล่าสุดในคดีอาญา ศาลได้วินิจฉัยตอนหนึ่งว่า “..การกระทำของจำเลยจึงมีเจตนาเพื่อให้มีการพิจารณาคำร้องไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่ได้มีเจตนาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน และหมิ่นประมาทการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด..” 
 
"ลิ่วล้อทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ทำท่าทางฟึดฟัด ขึงขัง นักการเมืองใจต้องกว้างเพราะเป็นบุคคลสาธารณะ ย่อมถูกตรวจสอบจากภาคประชาชนได้ สุดท้ายเป็นแค่มวยล้มต้มคนดูมากกว่า" ดร.ณัฐวุฒิ กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อิ๊งค์' โพสต์ภาพคู่ 'ทักษิณ' สุขสันต์วันพ่อ อดทนไว้ เราจะได้ไปเที่ยวรอบโลกด้วยกัน

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ภาพถ่ายร่วมกับนายทักษิณ ชินวัตร พร้อมระบุข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ

เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา

"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย

โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ

โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ