
ประชาชนคิดอย่างไร ต่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตัดไฟฟ้าประเทศเพื่อนบ้านแก้อาชญากรรมข้ามชาติ
2 ก.พ. 2568 – ในช่วงที่ผ่านมา ปัญหายาเสพติด ปัญหาค้ามนุษย์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ได้สร้างผลกระทบต่อความมั่นคงของไทยและความปลอดภัยของประชาชนเป็นอย่างมาก หน่วยงานด้านความมั่นคงได้เสนอแนวทางการตัดไฟฟ้าไปยังพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้ เพื่อกดดันและลดอิทธิพลของเครือข่ายผิดกฎหมาย แต่แนวทางดังกล่าวก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในพื้นที่ชายแดน เพื่อประเมินความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว
ดร.ชาญวิชย์ อริยาวรนันต์ รักษาการ ผู้อำนวยการสำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง ประชาชนคิดอย่างไร ต่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ตัดไฟฟ้าประเทศเพื่อนบ้านแก้อาชญากรรมข้ามชาติ กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวนทั้งสิ้น 1,143 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 31 มกราคม – 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา
ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในอัตราร้อยละ 81.1 เห็นด้วยถึงเห็นด้วยอย่างยิ่งกับมาตรการตัดไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ขณะที่มีเพียงร้อยละ 18.9 ที่ไม่เห็นด้วยถึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แนวทางดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชนในระดับสูง โดยประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าการตัดไฟฟ้าจะช่วยลดอิทธิพลของกลุ่มอาชญากรรมที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานของไทยเป็นฐานปฏิบัติการ
ที่น่าสนใจ คือ เมื่อสอบถาม ความคิดเห็นต่อแนวทางการจัดระเบียบชายแดนของนายอนุทิน ชาญวีรกูล การสำรวจยังพบว่าประชาชนให้การสนับสนุนแนวทางการจัดระเบียบชายแดนของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล อย่างมีนัยสำคัญ โดยร้อยละ 85.7 ของกลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยถึงเห็นด้วยอย่างยิ่งกับมาตรการดังกล่าว ในขณะที่มีเพียงร้อยละ 14.3 ที่ไม่เห็นด้วยถึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อผู้นำในด้านการบริหารความมั่นคงของประเทศและการควบคุมแนวชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ
ที่น่าพิจารณา คือ เมื่อสอบถามถึง ความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของมาตรการตัดไฟฟ้าในการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ พบว่า ประชาชนร้อยละ 55.3 มีความเชื่อมั่นว่ามาตรการตัดไฟฟ้าจะสามารถลดอาชญากรรมข้ามชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเห็นว่าการกดดันด้านโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มผิดกฎหมายจะส่งผลให้กิจกรรมอาชญากรรมลดลง
อย่างไรก็ตาม ประชาชนร้อยละ 52.8 มองว่าควรมีมาตรการอื่น ๆ เสริมเพิ่มเติม เช่น การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้น การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อตรวจจับและโจมตีเครือข่ายอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดว่าการตัดไฟเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่มาตรการที่เพียงพอ
นอกจากนี้ ประชาชนร้อยละ 44.4 ต้องการให้รัฐบาลมีความสามัคคีและใช้มาตรการที่เด็ดขาดในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ แทนที่จะมีความขัดแย้งทางการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาชนให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ของมาตรการมากกว่าประเด็นทางการเมือง
ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ประชาชนร้อยละ 43.9 สนับสนุนการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อดำเนินการตรวจสอบและควบคุมการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ต้องสงสัย เพื่อลดโอกาสของกลุ่มอาชญากรรมในการใช้โครงสร้างพื้นฐานของรัฐเพื่อประโยชน์ส่วนตน ขณะเดียวกัน มีประชาชนเพียงร้อยละ 13.7 ที่แสดงความกังวลว่าการตัดไฟฟ้าอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปและภาคธุรกิจในพื้นที่ชายแดน ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่ต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ให้การสนับสนุนมาตรการดังกล่าว
สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล ยังได้จัดทำข้อเสนอแนะจากผลสำรวจครั้งนี้ ในการปฏิบัติการลดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจากผลสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ให้การสนับสนุนมาตรการตัดไฟฟ้า ในฐานะเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังเสนอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการเสริมที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมได้ดียิ่งขึ้น ได้แก่:
- บูรณาการมาตรการหลายมิติ
- ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ระบบติดตามธุรกรรมออนไลน์ ระบบแจ้งเตือนอาชญากรรมล่วงหน้า และการสกัดกั้นเครือข่ายการเงินของกลุ่มอาชญากรรม
- เสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้การตัดไฟฟ้าไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปและเศรษฐกิจชายแดน
- ออกมาตรการเชิงกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อควบคุมเส้นทางเงินและทรัพย์สินของขบวนการอาชญากรรม
- สร้างความสามัคคีทางการเมืองในการแก้ไขปัญหานี้
- ประชาชนเห็นว่ามาตรการตัดไฟฟ้าเป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติ และไม่ควรถูกนำไปเป็นประเด็นขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล
- สนับสนุนให้รัฐบาลมีเอกภาพในการแก้ปัญหานี้ แทนที่จะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่อาจลดประสิทธิภาพของมาตรการ
- ตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อตรวจสอบและดำเนินการอย่างตรงจุด
- จัดตั้งคณะทำงานพิเศษที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนเพื่อกำกับดูแลการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่เสี่ยงภัยคุกคามความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชน
- ใช้ข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองในการกำหนดพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงกับอาชญากรรมข้ามชาติ ก่อนดำเนินมาตรการใด ๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'สโลแกนและผลงาน' ส่งผลภาพจำ 'พรรคการเมือง'
โพลเปิดผลสำรวจ จุดเด่นพรรคการเมือง ชี้ ภาพจำ สโลแกนเชิงนโยบาย กำหนดความเชื่อมั่นและการจดจำของประชาชนต่อพรรคการเมือง
นายกฯ นำแถลงผลปฏิบัติการยุทธการตัดหมอกเวียงแหง
'นายกฯ อนุทิน' นำแถลงผลปฏิบัติการ'ยุทธการตัดหมอกเวียงแหง' และ 'ยุทธการสกัดยานรก' ย้ำไม่ปกป้องคนผิด ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งหรือสถานะใดก็ตาม พร้อมเดินหน้าล้างบางสิ่งผิดกฎหมายทุกรูปแบบให้สิ้นซาก
'ปชป.' เปิดแคมเปญ 'เปิดฟ้าใหม่ไล่เมฆเทา' ตามบี้แก๊งข้ามชาติฟอกเงินโยง 'อดีต รมช.'
'ปชป.' เปิดแคมเปญ ''เปิดฟ้าใหม่ไล่เมฆเทา' เผยปมอาชญากรรมข้ามชาติฟอกเงินโยง 'อดีต รมช.' เดินหน้ารวมข้อมูลส่ง 'หัวหน้าพรรค' ยื่น 'ปปง.-กลต.-DSI' สอบต่อ ยืนยันทำการเมืองสุจริต เพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ได้หวังโจมตีการเมือง
ขอหมายแดง 'ตำรวจสากล' ล่าตัว 'ลี ยงพัด' สว.กัมพูชา ฟอกเงินแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ
พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คําชํานาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1, แถลงตํารวจไซเบอร์ เปิดปฏิบัติการทลายเครือข่าย "ลี ยงพัด" องค์กรอาชญากรรมฟอกเงินข้ามชาติ
โฆษกเพื่อไทย โชว์ผลงานอดีตรัฐบาลปราบสแกมเมอร์ จี้พรรคส้มร่วมมือซักฟอก
นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่เคยละเลยการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล พรรคการเมืองอื่นไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ โดยเฉพาะการตรวจสอบนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้มีความรับผิดชอบสูงสุดและเป็นผู้แต่งตั้งรัฐมนตรีมาทำหน้าที่ ซึ่งล่าสุดรัฐมนตรีหนึ่งรายต้องลาออกเพราะกรณีเกี่ยวข้องกับพิษสแกมเมอร์
'รักชนก' ลั่นหากพรรคส้มมีอำนาจ จะไม่มี 'สีเทา' เป็นเห็บหมัดกัดกินประเทศไทยแน่นอน
“ไอซ์ รักชนก” จัดหนัก แก๊งสแกมเมอร์ ฟอกเงินดำเป็นขาว ทั้งเปิดเว็บพนัน-เว็บขายล็อเตอรี่-ขายของถูก-ซื้ออสังหาฯ-ตั้งมูลนิธิ นำเงินทุนเส่นการเมือง เข้าสู่อำนาจรัฐ คุมเกมเอง ซัด ”ธรรมนัส-ชนนพัฒฐ์“ ถ้าใสจริง ไม่แป้ง ไม่เทา ใช้โอกาสแจงให้ชัด หากไม่ใส ควรมีคนติดคุก


