ดร.ณัฏฐ์ ชำแหละเกมล้มสว.สีน้ำเงิน ชี้ DSI ไม่มีอำนาจสอบสวน

ดร.ณัฏฐ์ นักกฎหมายมหาชน เผย เกมล้ม สว.สีน้ำเงิน ดีเอสไอไม่มีอำนาจสอบสวน พรป.กกต.ต้องไปสอบถาม กกต.ก่อนว่า จะให้สอบสวนหรือไม่ อำนาจหลักอยู่ที่ 'กกต.' เชื่อมวยล้มต้มคนดู
 
22 ก.พ.2568 - ดร.ณัฎฐ์ ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน  กล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)  ได้ดำเนินการสืบสวนและพบความผิดกระทำฝ่าฝืนพรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 77 (1) ความผิดตาม ปอ. มาตรา 209 (ความผิดฐานอั้งยี่) และความผิดฐานฟอกเงินตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยจะนำเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) หรือ “บอร์ดคดีพิเศษ” ในวันที่ 25 ก.พ.นี้ว่าสืบเนื่องจากหลายฝ่ายได้สอบถามมาจำนวนมากว่า ดีเอสไอ มีอำนาจสอบสวนได้หรือไม่ จะล้มสว.สายสีน้ำเงินได้หรือไม่ เพราะดีเอสไอสืบสวนพบพยานหลักฐานเป็นโพยฮั้ว โดยมีการเปิดเผยหนังสือแนวทางสืบสวนและแจ้งความคืบหน้าทางคดีแก่ประธาน กกต. 
 
ตนขอให้ความรู้ทางด้านกฎหมายมหาชนเพื่อเป็นประโยชน์แก่พี่น้องประชาชนว่า เท่าที่ได้อ่านเอกสารที่เผยแพร่ที่ปรากฎตามสื่อสาธารณะ ถือว่าเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ เพราะมีทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย ในเรื่องอำนาจสอบสวนและอำนาจฟ้อง 
                 
ดร.ณัฏฐ์ กล่าวว่าเกมล้มอำนาจ สว.สีน้ำเงิน ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นวิธีการแก้เกมการเมือง สว.สีน้ำเงิน เสียงข้างมากขวางร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ทำให้เกมสกัดเพื่อใช้ดีเอสไอ หน่วยงานรัฐ ภายใต้การกำกับควบคุมของกระทรวงยุติธรรม ที่มีอำนาจในการสอบสวนคดีพิเศษในการจัดการ กับกลุ่มสว.สีน้ำเงิน 
 
ซึ่งหากพิจารณาจาก ข้อกล่าวหาว่า ฮั้วเลือก สว.ปี 2567 เป็นภัยความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มีการทำเป็น ขบวนการ ลักษณะ “องค์กรอาชญากรรม” ฝ่าฝืนตาม พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 77(1) ความผิดอั้งยี่ และฟอกเงิน ถือเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก  ซึ่งบางข้อหา เช่น ฟอกเงิน อยู่ในอำนาจสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ 
      
คดีการเลือก สว.ปี 67  กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ มีอำนาจสอบสวนได้หรือไม่ ประเด็นนี้ ที่ประชาชน แม้กระทั่งตัว สว.เอง ยังสงสัยว่า ดีเอสไอ มีอำนาจสอบสวนหรือไม่ เพราะมีผลกระทบต่ออำนาจฟ้องคดีต่อศาล เพราะหากเป็นคดีอาญาปกติ เช่น กระทำทุจริตการเลือก สว.อั้งยี่ ฟอกเงิน จะต้องผ่านการสอบสวนของพนักงานสอบสวน เสนอสำนวนให้อัยการมีความเห็นว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง เป็นอำนาจพิจารณาคดีของศาลอาญาหรือศาลจังหวัดในเขตอำนาจ 
     
นักกฎหมายมหาชน ระบุว่าส่วนกรณีร้องคัดค้านว่า การเลือก สว.มิได้เป็นไป ตาม พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.ทำให้การเลือก สว.ไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรม เมื่อ กกต.ประกาศผลการเลือก สว.แล้ว ไม่ตัดอำนาจสืบสวนหรือไต่สวน ขณะนี้ มี สว.ที่เกี่ยวข้อง 138 คน เป็นอำนาจของศาลฎีกาที่จะมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัย  แม้จะใช้ดีเอสไอกับ กกต.จะใช้กฎหมายคนละฉบับก็ตาม แต่ต้องดูว่า ข้อหาหลัก เป็นอำนาจของหน่วยงานใด เพราะส่งผลอำนาจฟ้องตามมา 
    
ข้อหาหลัก กรณีฝ่าฝืนการเลือก สว. ตาม พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. เป็นอำนาจของ กกต.โดยตรง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 224 ประกอบ พรป.กกต.มาตรา 27 วรรคหนึ่ง 41 และ 49     อำนาจสอบสวนข้อหาหลัก จึงไม่ใช่ อำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ 
              
หากดีเอสไอ จะมีอำนาจสอบสวน ตามพรบ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม จะต้องมีหนังสือ สอบถาม กกต.และ กกต.มีมติเห็นชอบให้ดีเอสไอไปทำการสอบสวนในข้อหาใด ทำให้เกิดอำนาจสอบสวนและหากเป็นคดีอาญาข้อหาอื่นนอกเหนือท้ายบัญชีแนบท้ายจะต้องผ่านการพิจารณาของ กคพ.   
  
หากพิจารณาในหนังสือรายงานที่ดีเอสไอแจ้งความคืบหน้าผลการสืบสวนและขอความเห็นในการดำเนินคดี กรณีฮั้วเลือก สว.ปี 67 ฉบับลงวันที่ 3 ก.พ.2568 เสนอต่อประธาน กกต.ให้ทราบนั้น จะต้องพิจารณา ตาม พรป.กกต.มาตรา 49 ก่อนว่า “กรณีความปรากฏต่อ กกต.ว่า หน่วยงานของรัฐหรือพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องการกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมืองไว้พิจารณาแล้วหรือไม่”
   
อธิบายได้ว่า คำว่า ได้รับเรื่อง หมายถึง พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้รับคำร้องทุกข์ไว้เพื่อทำการสอบสวนแล้ว ไม่ใช่เพียงทำการสืบสวนเท่านั้น
   
เปิดช่องทางให้ นายแสวง บุญชี เลขาธิการ กกต.ใช้ช่องนี้ ทำหนังสือสอบถามไปยังดีเอสไอ ว่า สรุปว่า ดีเอสไอรับเรื่องไว้แล้วหรือไม่ อย่างไร เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ เพราะอำนาจสอบสวนที่ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จะรับไว้พิจารณานั้น จะต้องเป็นประเภท ลักษณะคดีอาญา ทีได้กำหนดไว้โดยชัดแจ้ง ตามบัญชีท้าย พรบ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
   
ข้อหาหลัก กรณีกระทำการฝ่าฝืนตาม พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 77(1)  กระทำเป็นขบวนการให้ได้อำนาจนิติบัญญัติ เป็นองค์กรอาชญากร อั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 เป็นความผิดที่ไม่ได้บัญญัติตามบัญชีท้าย พรบ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ถือว่าเป็นความผิดอาญาฐานอื่นๆ ที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในบัญชีท้าย พรบ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ดังนั้น พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จึงไม่มีอำนาจสอบสวน  พนักงานอัยการย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง ตาม ป.วิอาญามาตรา 120  เว้นแต่จะผ่านมติพิจารณาและเห็นชอบจากคณะกรรมการรคดีพิเศษ(กคพ.) ตาม พรบ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง (3) 
 
ข้อหารอง กรณีฟอกเงิน ตาม พรบ.การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เป็นความผิดที่ปรากฎในบัญชีท้าย พรบ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ข้อ (16) เป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านมติ กคพ.
 
แต่ข้อหาหลักเป็นบทบัญญัติกฎหมายเฉพาะและเป็นอำนาจของ กกต.โดยตรง ตาม พรป.กกต. พ.ศ.2560 มาตรา 49 
          
เปิดช่องทางให้นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ใช้ดุลพินิจดึงเกมไม่รับเผือกร้อนนี้ไว้ ยังไม่รายงานเสนอให้ กกต.ชุดใหญ่ทราบ แต่ใช้ช่องข้อกฎหมาย พรป.กกต. มาตรา 49 สงสัยในอำนาจของดีเอสไอ ว่า ดีเอสไอได้รับเรื่องไว้พิจารณาแล้วหรือไม่
 
ซึ่งคำว่า สืบสวน-สอบสวน ตาม พรบ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ไม่ได้บัญญัติคำนิยามไว้ จึงต้องพิจารณาจากบทนิยามตาม ป.วิอาญา
 
คำว่า สืบสวน หมายถึงการแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน ส่วนคำว่า สอบสวน หมายถึง การรวมรวมพยานหลักฐานเพื่อทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดและเพื่อเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ
 
หากพิจารณาจากพยานหลักฐาน ที่ดีเอสไอ สืบสวนได้แนวทางว่า พบว่า ขบวนการได้จัดมีผู้สมัคร สว.ในระดับอำเภอ โดยสมัครกลุ่ม ละ 5 คน รวม 100 คน ในระดับอำเภอ 928 อำเภอ(หลักเกณฑ์รอบเช้าเลือกได้ 5 คน) จึงทำให้บางจังหวัดมีผู้สมัครจำนวนมาก สำหรับค่าตอบแทนระดับอำเภอ จำนวน 5,000 บาท ระดับจังหวัด จำนวน 10,000 บาท และระดับประเทศ 40,000-100,000 บาท และถ้าได้ สว.มากกว่า 120 คน จะได้เพิ่ม 100,000 บาท จากการสืบสวนพบโพย สว.มีหมายเลขจำนวน 2 ชุด กลุ่มละ 7 คน รวม 140 คน และในการเลือก สว.ระดับประเทศ พบ ขบวนการจัดตั้ง มีจำนวนผู้สมัคร สว.อยู่ในขบวนการ จำนวน ประมาณ 1,200 คน สำหรับโพยฮั้ว สว.จำนวน 2 ชุด กลุ่มละ 7 คน พบว่าได้รับเลือกเป็น สว.จำนวน 138 คน และอยู่ในลำดับรอง 2 คน 
 
ผลจากการสืบสวนแสวงหาข้อเท็จจริงของกรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ยังไม่มีการรับคดีในข้อหาหลักไว้สอบสวน เพราะเป็นคดีอาญาข้อหาอื่นๆ ต้องผ่านมติ กคพ.และเป็นอำนาจโดยตรงของ กกต.
           
หากเป็นเรื่องจริง ย่อมส่งผลให้การเลือก สว.ไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 224 วรรคหนึ่ง(1) (2) กำหนดไว้ 
 
แม้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษไม่มีอำนาจสอบสวนดำเนินคดีกับ สว.สายสีน้ำเงิน แต่เมื่อข้อเท็จจริงความปรากฎแก่ กกต.และมีพยานหลักฐานหลักฐานโพยฮั้ว สว. กกต.ย่อมใช้อำนาจตามมาตรา 41 แห่ง พรป.กกต.ตั้งคณะกรรมการสืบสวนหรือไต่สวนได้ 
 
แต่พรรคภูมิใจไทยและ สว.ค่ายสีน้ำเงิน มีบทบาทในองค์กรอิสระหลายองค์กร อ่านเกมการเมือง เชื่อว่า กกต.จะดึงสำนวนไปทำเอง เพื่อลดปัญหาขัดแย้งฝ่ายการเมืองด้วยกัน และเพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายการเมืองใช้ดีเอสไอ เป็นเครื่องมือล้มล้างฝ่ายการเมืองตรงกันข้าม เพื่อกระชับอำนาจองค์กร กกต. เชื่อว่า กกต.มีหนังสือแจ้งให้หน่วยงานของรัฐ หรือพนักงานสอบสวนนั้น โอนเรื่องหรือส่งสำนวนการสอบสวนเกี่ยวกับการกระทำความผิดนั้น มาให้ กกต.เพื่อดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ในกรณีเช่นนี้ให้หน่วยงานของรัฐหรือพนักงานสอบสวนโอนเรื่องหรือส่งสำนวน การสอบสวนในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมืองมาให้ กกต.ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งดังกล่าว จะทำให้การเมืองลดความร้อนแรง 
 
"อ่านเกมการเมือง คณะกรรมการสืบสวนหรือไต่สวน กกต.รับไต่สวนข้อเท็จจริงที่พยานหลักฐานสลับซับซ้อนและต้องใช้เวลานานพอควร ใช้หลักไต่สวนฟังความทุกฝ่าย แต่ในการสรุปสำนวนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย จะพบข้อเท็จจริงตรงกันข้ามกับพยานหลักฐานที่ดีเอสไอด่วนสรุป โดยไม่ฟังความสองฝ่าย วินิจฉัยชี้ขาดยกคำร้อง 138 สว.ค่ายสีน้ำเงิน ไม่มีมูลฮั้วทุจริต เสนอให้ กกต.ชุดใหญ่ยุติการดำเนินคดี เพราะเป็นอำนาจเด็ดขาดของ กกต. "
 
เมื่อไม่มีความผิดฮั้วเลือก สว.ตามที่สื่อประโคมข่าว ตาม พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.แล้ว กกต.ยกคำร้องแล้ว  ส่งผลในข้อหารอง คือ ในความผิดฐานฟอกเงิน ที่ดีเอสไอมีอำนาจสอบสวนคดี ย่อมสั่งไม่ฟ้องไปด้วยเพราะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานในคดีหลักว่าฮั้วเลือก สว.ปี 67 จริงหรือไม่ 
 
ไม่ต่างจาก กรณีนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง วินิจฉัยชี้ขาดยกคำร้องคดียุบพรรคภูมิใจไทย กรณีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมและอดีตเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ให้นอมินีถือครองหุ้นและรับบริจาคโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ผ่านมา
 
"เกมอำนาจลับ มือที่มองไม่เห็น ขยายเป็นเกมการเมือง สร้างอำนาจต่อรองเพื่อล้มอำนาจ สว.ใครได้ประโยชน์จากเกมอำมหิต ทั้งกรณีแอคชั่น กล่าวหา สว.สีน้ำเงินเป็น องค์กรอาชญากรรม หรือกรณี ที่ดิน สปก.ออกมาทับที่ดินสนามกอล์ฟ แรนโซ ชาญวีร์ รีสอร์ต แอนด์ คันทรีคลับ หรือ กรณีเกมขวาง ของ สว.สีน้ำเงิน ร่างแก้รัฐธรรมนูญหรือร่างแก้ไข พรบ.ประชามติ ในช่วงก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อหมายเขย่าพรรคภูมิใจไทย เกมกระชับอำนาจ สุดท้ายตอนจบผลประโยชน์ทุกฝ่ายลงตัว หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ กระทรวงมหาดไทย(กระทรวงอำนาจ) ในโควต้าพรรคภูมิใจไทยยังไม่ถูกปรับออก  เกมล้ม สว.สีน้ำเงิน เป็นเพียงมวยล้ม ต้มคนดู"

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา

"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย

โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ

โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ

เทนนิสตั้งเป้า4เหรียญทองซีเกมส์ 'ดร.ณัฏฐ์'ชื่นชมการบริหารงานสมาคมฯ

ดร.ณัฏฐ์ ธีรณัฐสุภานนท์ ประธานมูลนิธิกองทุนพัฒนาการกีฬา มอบกำลังใจทีมเทนนิสซีเกมส์ของไทย หลังชมการฝึกซ้อม ที่ทางสมาคมกีฬาลอนเทนนิสฯ ตั้งเป้าหมายไว้ 4 เหรียญทอง ชมเปาะสมาคมฯ มีการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม พร้อมแนะแนวทางในการประชาสัมพันธ์ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ควรเร่งเครื่องให้คนไทยได้ร่วมรับรู้ เพื่อมาชมและเชียร์ เป็นการให้กำลังใจนักกีฬามากกว่านี้