
6 มี.ค. 2565 – นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์ข้อความส่วนตัว ผ่านเพจ Panich Vikitsreth – พนิต วิกิตเศรษฐ์ ระบุว่า การเลือกตั้งคือ การชี้ชะตาประเทศชาติไปอีก 4 ปีข้างหน้า และนี่คือส่วนหนึ่งของกฏหมายลูก ที่กําลังถูกพิจารณาเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไป และขอเชิญชวนประชาชนทุกคนร่วมกันพิจารณา เพราะนี่คืออนาคตของพวกเรา
ทางเลือกที่ 1:ถ้าเราหารเฉลี่ยด้วยตัวเลข 500 จากบัตรเลือกตั้ง 37 ล้านใบ โดยใช้สูตรคำนวณแบบ จัดสรรปันส่วนผสมหรือ MMP เพื่อหาจำนวน ส.ส.พึ่งมี ของแต่ละพรรคขณะเดียวกันจำนวน ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะมีความเหมาะสม ซึ่งเป็นการคำนวณแบบเดียวกับการเลือกตั้งปี62
ผลคือ คะแนนไม่ตกนํ้า ป้องกันเผด็จการรัฐสภา และที่สำคัญสุด เปิดโอกาสให้พรรคเล็กและพรรคใหม่มีพี้นที่ทางการเมือง เพราะค่าเฉลี่ยประมาณ 7.1หมื่นคะแนนต่อส.ส.บัญชีรายชื่อ1คน
ทางเลือกที่ 2: ถ้าเราหารด้วยตัวเลข 100 นั่นคือ 3.7แสนคะแนนเลือกตั้ง เท่ากับ 1 สส.บัญชีรายชื่อ ผลคือ พื้นที่ทางการเมืองจะถูกครอบงำโดยพรรคใหญ่และเก่าแก่ ซึ่งแทบไม่ต่างอะไรจากการเมืองแบบเดิมๆ
“มาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการเมืองประชาธิปไตยของไทยเราอ่อนแอเพราะอะไร? ไม่ใช่เพียงเพราะการรัฐประหารซ้ำซาก ไม่ใช่เพียงเพราะอำนาจมืดแทรกแซง แต่คือการไร้ความสมดุลย์ทางอำนาจ ระบบที่ซักฟอกคนเดิมๆเวียนขึ้นมาครองอำนาจสุดท้ายแล้วประเทศไทยก็เหมือนเดิม นั่นคือ การเมืองเก่าครองอำนาจ”
นายพนิต กล่าวต่อว่า ถึงจุดนี้ เราต้องยอมรับได้แล้วว่า ประชาธิปไตยบ้านเราเปรียบเสมือนเด็กพึ่งหัดเดิน แต่ 90 ปีผ่านไป ก็ยังเดินไม่ได้ เพราะโดนขัดขาและผลักล้มตลอด แต่ในเมื่อยังเป็นเด็กหัดเดิน สิ่งที่ดีที่สุด คือ เราต้องเปิดโอกาสให้เรียนรู้มากที่สุด การเลือกตั้งปี 62 มีหลายปัญหา แต่สูตรหารเฉลี่ย 500 ก็ได้เปิดโอกาสให้ให้พรรคใหม่ๆและนักการเมืองใหม่ๆเป็นทางเลือกของประชาชน และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ทางการเมืองแต่ต้องยอมรับว่า หลายคนอาจไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของพรรคใหม่บางพรรค แต่ปัจจัยสำคัญของประชาธิปไตย คือการสร้างโอกาสและทางเลือกให้ประชาชน และเพิ่มความสมดุลย์ทางอำนาจระหว่างการเมืองเก่าและการเมืองใหม่ และนี่คือความสมดุลย์ที่ต้องเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ลดลง หากเราต้องการพัฒนาประชาธิปไตยอันเยาว์วัยให้โตเป็นผู้ใหญ่ และเดินได้อย่างมีเสถียรภาพและความมั่นคง
อย่างไรก็ตามในฐานะส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ตนยอมรับว่า การแก้สูตรเลือกตั้งเป็นบัตร 2 ใบนั้น เป็นการเอื้อต่อพรรคฯ และสำคัญยิ่งกว่านั้น สิ่งนี้ได้ให้คุณค่ากับส.ส.เขตที่ทํางานในพื้นที่ ซึ่งตนเองก็สนับสนุน
แต่ในฐานะนักการเมืองที่ยึดมั่นในการพัฒนาประชาธิปไตย อยากให้ระบบการเลือกตั้งควรเอื้อและให้โอกาสให้กับพรรคเล็กและพรรคใหม่ เพื่อเข้ามาช่วยพัฒนาบ้านเมือง และสร้างความสมดุลย์ทางอำนาจ โดยผมขอสนับสนุนการแก้กฎหมายลูก คือ ให้ใช้สูตรบัตร 2 ใบ แต่คำนวณเก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเหมือนเลือกตั้งปี62 หารเฉลี่ยด้วย500 ซึ่งสิ่งที่ผมเสนอนั้น สอดคล้องกับในขณะนี้ ที่ได้ยินว่า มีส.ส.ฝั่งรัฐบาลหลายพรรคการเมืองพูดถึง รวมถึงวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองข้างหน้า และให้ความสนใจสูตรคำนวณส.ส.แบบMMP กันแล้วครับ ” นายพนิต กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘ดุสิตโพล’ ชี้ภูมิใจไทยได้เปรียบสุดในการเลือกตั้ง
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “พรรคการเมืองไทย พรรคใดได้เปรียบ” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,794 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2568 พบว่า พรรคภูมิใจไทยถือเป็นพรรคที่มีความได้เปรียบมากที่สุดถึง 8 ข้อ
'เฉลิมชัย-เดชอิศม์' ประสานเสียงยัน ปชป. ไร้แตกแยก!
'เฉลิมชัย-เดชอิศม์' ประสานเสียงยัน ไร้แตกแยก 'ปชป.' ลั่น ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ปัดข่าวย้ายพรรค บอกรอหลัง 18 ต.ค. ตัดสินใจอนาคตการเมือง เผยรอคุย 'อภิสิทธิ์' นำทัพ กก.บห. ชุดใหม่
ลองของ! เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญค้านคำตัดสินศาล รธน.ปม ส.ส.ร.
'เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ' ยื่นหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญ ค้านคำตัดสินห้ามประชาชนเลือก ส.ส.ร. โดยตรง ชี้ล้ำเส้น-ไร้เหตุผล หวั่นกลุ่มอำนาจเก่าควบคุมการเขียน ปิดทางประชาชนมีส่วนร่วม
คน GEN Z เมืองอุดรฯ เมินประเด็นทักษิณ!
โพลชี้! นักศึกษาอุดรฯกว่าครึ่งเลือกพรรคประชาชน 44.9% เพื่อไทยแผ่วตามห่าง ภูมิใจไทยไม่แรงพอ เกาะอันดับ 4 โหวตโนขึ้นอันดับ 2 กว่า 36% คนรุ่นใหม่เมินประเด็นทักษิณ
อำนาจคือเส้นเลือด ชีวิตคือเวที บทนิยามที่ยังไม่ปิดฉากของชายชื่อทักษิณ
จากชายผู้เคยก้าวสู่ยอดสูงสุดของอำนาจ สู่วันที่ต้องใช้ชีวิตในฐานะนักโทษ ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ยังคงดึงการเมืองไทยให้เวียนวนระหว่างความหวังกับความขัดแย้ง บุรุษผู้หนึ่งถูกจดจำทั้งในฐานะผู้ผลัก
อ.ไชยันต์ แนะการเมืองไทย ถึงเวลาควรมีการเรียนการสอนเรื่อง 'รัฐบาลผสม' จริงจังเสียที
เราควรจะมีการเรียนการสอนเรื่อง ‘รัฐบาลผสม’ กันจริงๆจังๆ เพราะการเมืองไทยเราเป็นระบบหลายพรรคมาโดยตลอด มีแค่สองครั้งเท่านั้นที่พรรคการเมืองได้เสียงเกินครึ่งสภาหลังการเลือกตั้งทั่วไป


