ปลุกจิตสำนึกประหยัดพลังงานจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ

ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ได้เห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแปลกๆ ที่ชวนให้ตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้เริ่มละลายในปริมาณที่น่าตกใจ พายุไต้ฝุ่นที่ก่อตัวรุนแรงขึ้นในหลายๆ แห่งบนโลก และล่าสุด เมื่อปลายเมษายนที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาอินเดีย รายงานว่า ที่รัฐอุตตรประเทศ พบอุณหภูมิสูงสุดในประเทศอินเดียอยู่ที่ 45.9°C  ในขณะที่พื้นที่อื่นๆ ได้ถูกบันทึกสถิติอุณหภูมิสูงถึง 42 - 44 °C เช่น ในรัฐมหาราษฏระ ทางภาคตะวันตกของอินเดีย ทำให้มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคลมแดดกว่า 25 ราย ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอากาศร้อนผิดปกตินี้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้คนมากกว่า 1,000 ล้านคน ในอินเดียและปากีสถานซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน มีความเสี่ยงที่จะล้มป่วยหรือเสียชีวิตจากอากาศที่ร้อนจัดเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปากีสถาน รัฐบาลประกาศเตือนภัยคลื่นความร้อน หลังอากาศร้อนจัดที่สุดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทุบสถิติในรอบ 61 ปีนับตั้งแต่ปี 1961 เป็นต้นมา หลังจากที่เมืองลาร์คานา จังหวัดซินด์ ทางใต้ของปากีสถาน อุณหภูมิพุ่งสูงสุด 47 °C พร้อมกับเตือนว่า คลื่นความร้อนอาจทำให้ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยละลาย จนอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน

โรซี แมทธิว คอลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศจากสถาบันอุตุนิยมวิทยาเขตร้อนแห่งอินเดียได้อธิบายถึงสถานการณ์คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นในอินเดียครั้งนี้ว่า เป็นผลพวงมาจากภาวะโลกร้อนโดยตรง ซึ่งสอดคล้องกับคำอธิบายของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (IPCC) ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า อินเดียจะต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนรุนแรงและบ่อยครั้ง ในขณะที่อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเป็นการตอกย้ำความท้าทายของรัฐบาลอินเดียในเรื่องการจัดการกับปัญหาก๊าซเรือนกระจก

ไม่ใช่แค่อินเดียที่ต้องเผชิญกับภาวะโลกร้อนและปัญหาก๊าซเรือนกระจกประเทศไทยเองก็เช่นเดียวกัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทด้านพลังงานแห่งชาติ ตระหนักถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี และอยากชวนตั้งคำถามเพื่อแสวงหาแนวทางที่เราจะมีส่วนร่วมในการลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดความผิดปกติของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงนี้ได้อย่างไรบ้าง ?

สิ่งที่ต้องตระหนักในลำดับต้นๆ เลยก็คือ เรากำลังบริโภคพลังงานเกินความจำเป็นใช่หรือไม่ พลังงานในความหมายนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใช้น้ำมันหรือก๊าชธรรมชาติเท่านั้น แต่กินความกว้างไปถึง การบริโภคอาหาร การใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง รวมถึงระบบการผลิตสิ่งต่างๆ ในอุตสาหกรรมทั่วไป ซึ่งล้วนต้องอาศัยพลังงานหลักๆ จำพวกน้ำมัน ถ่านหิน ที่ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกทั้งสิ้น

ฉะนั้น การตั้งคำถามเพียงแค่ เราบริโภคพลังงานเกินความจำเป็นใช่หรือไม่นั้น อาจไม่สามารถจัดการได้อย่างลุล่วงเท่ากับการตั้งคำถามว่า เราจะบริหาร “ความอยากเกินพอดี” ของตัวเราได้อย่างไร ? ง่ายนิดเดียว

“อย่าอยากกินของไกลเกินตัว” การลดการบริโภคของต่างถิ่นหรือของต่างประเทศที่ต้องผ่านการขนส่งระยะทางไกล จะช่วยลดปัญหาโลกร้อนได้อย่างเห็นผล เพราะการขนส่งระยะทางไกลๆ สิ้นเปลื้องทั้งน้ำมัน เวลา และจะส่งผลเสียต่อสุขภาพทางอ้อมด้วย อย่าลืมว่า การฟรีซอาหารหรือการยืดอายุอาหารให้อยู่ได้นานๆ นั้นต้องใช้สารเคมีเป็นตัวช่วย ฉะนั้นเลือกบริโภคสินค้าในท้องถิ่นหรือสินค้าที่ไม่ต้องพึ่งพาการขนส่งระยะทางไกลๆ เป็นทางเลือกที่เตือนตัวเองได้เป็นอย่างดี

“อย่าอยากกินเนื้อสัตว์มากเกินไป” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการทำปศุสัตว์ขนาดใหญ่นั้น จำเป็นต้องใช้เนื้อที่ในการทำถึง 2 ใน 3 ของการทำการเกษตรทั้งหมด เมื่อต้องใช้พื้นที่มากจึงทำให้เกิดการเผาทำลายป่าเพื่อนำพื้นที่ดังกล่าวมาเลี้ยงสัตว์ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของลูปที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกหรือสภาวะโลกร้อน เพราะพื้นที่สีเขียวลดจำนวนลงเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้การทำปศุสัตว์ยังก่อให้เกิดก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาล ฉะนั้นลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลง และหันไปทานผักแทนบ้าง เป็นทางเลือกที่ดี นอกจากจะทำให้คุณกลายเป็นผู้ร่วมพิทักษ์โลกแล้ว ยังดีกับสุขภาพด้วย

“อย่าอยากใช้ของใหม่ตลอดเวลา” การรู้จักนำของเก่ามาใช้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย แต่กินความไปถึงกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน อาทิ ถุงพลาสติก ที่นำวนกลับมาใช้ซ้ำได้หลายรอบ แค่เราลดการใช้ของใหม่ได้เพียงครึ่งหนึ่งที่เราเคยซื้อ จะส่งผลทางอ้อมไปสู่ผู้ผลิตโดยตรงว่า เขาควรจะปรับตัวอย่างไร และนั่นหมายความว่า เราได้ช่วยโลกใบนี้ประหยัดพลังงานได้อย่างมหาศาล

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สัมผัสสถานที่จริง'สังเวชนียสถาน' ต่อยอดงานศาสนา

พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนได้เดินทางไปสัมผัสสถานที่จริงที่สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ซึ่งเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ 4 แห่ง สถานที่ประสูตร  สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนา และสถานที่ปรินิพพาน ในประเทศอินเดียและเนปาลอีกครั้งจากการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน

วันสุดท้าย! คนนับแสนหลั่งไหลกราบสักการะ 'พระบรมสารีริกธาตุ-พระอรหันตธาตุ'

ที่อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่ บรรยากาศในการเข้ากราบสักการะ พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ ของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ จากประเทศอินเดีย

'พระบรมสารีริกธาตุ-พระอรหันตธาตุ' ถึงเชียงใหม่ เปิดสักการะ 5-8 มี.ค.

พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ จากอินเดีย ถึงเชียงใหม่ เปิดให้ ปชช. สักการะ 5 - 8 มี.ค. ณ หอคำหลวง

ในหลวง ทรงสักการะพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดีย พระราชทานไฟ  ณ 4 มณฑป ถวายเป็นพุทธบูชา

ในหลวงทรงสักการะพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดีย พระราชทานไฟ  ณ 4 มณฑป ถวายเป็นพุทธบูชา พสกนิกรเนืองแน่นเฝ้าฯ รับเสด็จ

รัฐบาล เชิญชวนร่วมสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุจากอินเดีย 22 ก.พ.-19 มี.ค.นี้

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะจากสาธารณรัฐอินเดีย มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย โ

วธ. เผย 'ในหลวง' เสด็จฯสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุจากอินเดีย 26 ก.พ.นี้

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) พร้อมด้วย H.E. Mr. Nagesh Singh เอกอัครราชทูตอินเดีย ประจำประเทศไทย และนายสุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 พร้อมนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดวธ.