
นายประเสริฐศักดิ์ แสงสัทธา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 พิษณุโลก (สศท.2) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงการบูรณาการจัดทำข้อมูลพยากรณ์เนื้อที่เพาะปลูกข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2565/66 (ข้อมูลจากหน่วยงานและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานเกษตรจังหวัดทั้ง 6 จังหวัด เศรษฐกิจการเกษตรอาสาในพื้นที่รับผิดชอบ และเจ้าหน้าที่ส่วนสารสนเทศการเกษตร สศท.2 ณ วันที่ 12 เมษายน 2565) ของ 6 จังหวัดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ได้แก่ พิษณุโลก สุโขทัย แพร่ อุตรดิตถ์ น่าน และตาก โดยบูรณาการวิเคราะห์ข้อมูลจาก ผลการพยากรณ์ มีดังนี้
เนื้อที่เพาะปลูก คาดว่า จังหวัดพิษณุโลก มีจำนวน 1,487,347 ไร่ ลดลงจากปี 2564/65 ร้อยละ 2.32 จังหวัดสุโขทัย มีจำนวน 1,129,280 ไร่ ลดลงจากปี 2564/65 ร้อยละ 0.01 และจังหวัดแพร่ มีจำนวน 299,420 ไร่ ลดลงจากปี 2564/65 ร้อยละ 0.01 เนื่องจากเกษตรกรบางส่วนของจังหวัดพิษณุโลกปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปทำเกษตรผสมผสาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เกษตรกรบางส่วนของจังหวัดสุโขทัยเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปรังล่าช้าจึงต้องปล่อยพื้นที่ว่างในฤดูเพาะปลูกข้าวนาปี เกษตรกรบางรายมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปปลูกมันสำปะหลัง เพราะเห็นว่าสถานการณ์ราคาดีต่อเนื่อง ต้นทุนการผลิตต่ำ และบางรายก็มีการปรับเปลี่ยนไปปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากสถานการณ์ราคาจูงใจ ในขณะที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มีจำนวน 599,645 ไร่ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2564/65 ร้อยละ 0.57 จังหวัดน่าน มีจำนวน 336,747 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2564/65 ร้อยละ 2.16 เนื่องจากเกษตรกรคาดการณ์ว่าจะมีน้ำปริมาณมากกว่าปีที่ผ่านมา ครอบคลุมพื้นที่ปลูกข้าวนาปีมากขึ้น และน่าจะมีเพียงพอตลอดรอบการผลิต ปรับเปลี่ยนมาปลูกข้าวในพื้นที่นาที่เคยปล่อยว่าง รวมทั้งมีแรงจูงใจจากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว อาทิ โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 ส่วนจังหวัดตาก มีจำนวน 383,170 ไร่ เท่ากับปีที่ผ่านมา

ผลผลิตต่อไร่ คาดว่า จังหวัดพิษณุโลก มีจำนวน 597 กิโลกรัม/ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2564/65 ร้อยละ 1.85 และจังหวัดสุโขทัย มีจำนวน 550 กิโลกรัม/ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2564/65 ร้อยละ 8.35 เนื่องจากปีนี้มีฝนตกตั้งแต่ต้นปีทำให้มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว ประกอบกับเกษตรกรมีการดูแลเอาใจใส่ดีขึ้นเนื่องจากคาดหวังผลตอบแทนที่จะได้รับจากการผลิต แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ภัยแล้ง และฝนทิ้งช่วงในเดือนมิถุนายน และโรคแมลงศัตรูพืช ส่งผลกระทบให้ผลผลิต เนื้อที่เก็บเกี่ยว และผลผลิตต่อไร่อาจได้รับความเสียหาย ส่วนผลผลิตต่อไร่ของทั้ง 4 จังหวัด ที่มีผลผลิตเท่ากับปีที่ผ่านมา ได้แก่ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีจำนวน 593 กิโลกรัม/ไร่ จังหวัดแพร่ มีจำนวน 578 กิโลกรัม/ไร่ จังหวัดน่าน มีจำนวน 511 กิโลกรัม/ไร่ และจังหวัดตาก มีจำนวน 415 กิโลกรัม/ไร่ เนื่องจากคาดว่ายังคงมีปริมาณน้ำเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงแตกกอและออกรวงเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา
ด้านปริมาณผลผลิตที่จะออกสู่ตลาด จังหวัดพิษณุโลก คาดว่าผลผลิตจะเริ่มออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 -มกราคม 2566 จำนวน 887,946 ตัน จังหวัดสุโขทัย คาดว่าจะเริ่มออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 - กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 621,104 ตัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนสิงหาคม 2565 - มกราคม 2566 จำนวน 355,589 ตัน เนื่องจากเกษตรกรในบางพื้นที่อาจปลูกข้าวนาปีล่าช้า ซึ่งหากเป็นข้าวเจ้าพันธุ์ขาวดอกมะลิจะมีอายุเก็บเกี่ยวนานถึง 120 วัน ทั้งนี้ ผลผลิตของทั้ง 3 จังหวัด จะเริ่มมีปริมาณมากช่วงเดือนตุลาคม 2565 และกระจุกตัวเดือนพฤศจิกายน 2565 ส่วนจังหวัดแพร่ ตาก น่าน และอุตรดิตถ์ มีช่วงระยะเวลาที่ผลผลิตออกสู่ตลาดสั้นกว่าจังหวัดอื่น เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกและเก็บเกี่ยวในช่วงเวลาเดียวกัน โดยจังหวัดแพร่ ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2565 จำนวน 173,065 ตัน จังหวัดน่าน ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนตุลาคม 2565 - มกราคม 2566 จำนวน 172,078 ตัน และจังหวัดตาก ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนกันยายน - ธันวาคม 2565 จำนวน 159,016 ตัน

ในขณะที่ภาพรวมสถานการณ์การตลาดข้าวไทย ปี 2565 ราคาข้าวเปลือกเจ้า ณ ความชื้น 15 % คาดว่าปรับตัวสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย เฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 8,900 - 9,400 บาท เนื่องจากข้าวเปลือกเจ้าพื้นแข็งของไทยมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าประเทศคู่แข่งทำให้ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาในตลาดโลก รวมทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่มีความแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในการส่งออกข้าวเริ่มคลี่คลายลง ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยหนุนให้ปริมาณการส่งออกข้าวของไทยเพิ่มขึ้น รวมทั้งความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศที่มีมากขึ้นตามกรอบแนวทางการสร้างความมั่นคงด้านอาหาร
ทั้งนี้ สศท.2 จะดำเนินการติดตามสถานการณ์เพื่อใช้เป็นข้อเสนอแนะในการวางแผนบริหารจัดการข้าวตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาล อาทิ กรมชลประทานควรวางแผนบริหารจัดการน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ปรับการระบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงปริมาณน้ำ ระยะเวลา ผลกระทบ และการมีส่วนร่วมของพื้นที่ การแจ้งเตือนภัยเพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด (ข้าวพื้นนุ่ม) ให้ทันฤดูกาลเพาะปลูก ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้านการตลาดต่างประเทศควรแจ้งเตือนสถานการณ์ตลาดล่วงหน้าเพื่อให้ภาคการผลิตสามารถวางแผนทั้งเชิงรุกและเชิงรับ และทุกจังหวัดควรใช้กลไกคณะทำงานประสานงานด้านการตลาด (Demand Site) วิเคราะห์ข้อมูลสมดุลสินค้า (Demand Supply) เพื่อให้ทราบผลผลิตส่วนเกินหรือส่วนขาดเพื่อวางแผนบริหารจัดการผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากท่านใดสนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ ส่วนสารสนเทศการเกษตร สศท.2 โทร. 05 532 2658 ต่อ 205 หรืออีเมล [email protected]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดร.รวีวรรณ ปลัดกระทรวงฯ นำทีม ทส. ชวนประชาชนพกถุงผ้า ลดใช้ถุงพลาสติก ในงานกาชาด ปี 2568
วันนี้ (19 ธันวาคม 2568) เวลา 16.30 น. ดร.รวีวรรณ ภูริเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จัดพิธีประสาทปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ประจำปี 2568
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จัดพิธีประสาทปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ประจำปี 2568 โดยมี ดร.มัทนา สานติวัตร อุปนายกสภามหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นประธานในพิธี
คนดังการเมืองแห่สมัครสส.พรรคภูมิใจไทยต่อเนื่อง "กุลวลี - สุดารัตน์ - รัชดา -หมอเอกภพ" ร่วมสู้ศึกเลือกตั้ง
คนดังการเมืองแห่สมัครสส.พรรคภูมิใจไทยต่อเนื่อง "กุลวลี - สุดารัตน์ - รัชดา -หมอเอกภพ" ร่วมสู้ศึกเลือกตั้ง
จุฬาฯ-มหิดล ผนึกกำลังสร้างนวัตกรรมเวชสำอางจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ไทย เตรียมทดสอบทางคลินิกที่ศิริราช
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหิดล ลงนามถ่ายทอดเทคโนโลยี "AnthoRice™ Complex" นวัตกรรมเซรั่มบำรุงรากผมจากสารสกัดข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ไทย
C PAINT พลิกโฉมงานซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ไทย เปิดกลยุทธ์ Pop-up Store รายแรก ตั้งเป้า 100 สาขา รองรับงานซ่อม 50,000 คัน รับการเติบโตของตลาด EV
C PAINT คือศูนย์ซ่อมสีและตัวถังรถยนต์มาตรฐานครบวงจร ที่พัฒนาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้รถยุคใหม่ ด้วยคุณภาพระดับศูนย์บริการ เทคโนโลยีพ่นสีสมัยใหม่ ห้องอบสีมาตรฐาน และระบบควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน รองรับรถทุกประเภท ทั้งรถสันดาป รถไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า
TOA เปิดตัวเทรนด์สี 2026 ‘The Pigmentum’ เมื่อสีสันคือพลังขับเคลื่อนชีวิต พร้อมเจาะลึก 4 กลุ่มสี สะท้อนตัวตน จาก 5 สถาปนิกนักออกแบบชั้นนำ
ในทุกๆ ปี วงการสีทาอาคาร ต่างตั้งตารอการประกาศเทรนด์สีใหม่จาก บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ผู้นำตลาดสีอาคารอันดับหนึ่งของไทย และสำหรับปี 2026 นี้ TOA ได้ก้าวข้ามคำว่า 'เฉดสี' ไปสู่การสร้างพลัง แรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนชีวิต ภายใต้คอนเซ็ปต์สุดล้ำที่ชื่อว่า “The Pigmentum” ประกอบด้วย 4 กลุ่มเทรนด์สีที่สะท้อนถึงพลังของอารมณ์ ความคิด และจิตใจ โดยความร่วมมือกับ 5 สถาปนิกนักออกแบบชั้นนำของประเทศไทย

