มิชลิน เผยพัฒนาการตลาดยางล้อและการปฏิรูปโรงงานมิชลิน ในกิจกรรมวันสื่อมวลชนสากล

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มิชลินได้จัดกิจกรรมวันสื่อมวลชนสากล (International Media Day) ขึ้นเป็นครั้งแรก ณ โรงงานอุตสาหกรรมในเมืองกูนีโอ (Cuneo) ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นโรงงานผลิตยางรถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตกและเป็นหนึ่งในโรงงานที่ทันสมัยที่สุด เพื่อเผยแพร่ข้อมูลความคืบหน้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ 2 ด้านหลักของกลุ่มมิชลิน ได้แก่

  • พัฒนาการของตลาดยางล้อ ท่ามกลางบริบทความต้องการใหม่ ๆ ของผู้ขับขี่และผู้ผลิต ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • การปฏิรูปโรงงานมิชลิน ท่ามกลางความท้าทายใหม่ ๆ ทั้งด้านมนุษย์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม

ในโอกาสนี้ มิชลินเน้นเรื่องการให้ความสำคัญกับพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายที่จะผลิตยางโดยใช้วัสดุที่ยั่งยืน 100% ภายในปี 2593

ตลาดยางล้อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ตลาดยานยนต์ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงเชิงลึก โดยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ความต้องการและรูปแบบการใช้ยานยนต์ของผู้บริโภคทุกที่ทั่วโลกเปลี่ยนไปอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากคุณสมบัติของยานยนต์ที่มีน้ำหนักมากขึ้น ปรับแต่งได้ตามต้องการมากขึ้น ให้ความสะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น ตลอดจนการเกิดขึ้นของธุรกิจแบ่งปันรถใช้ (Car Sharing) และพัฒนาการของธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ (Leasing)  ยิ่งกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม
ที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ยังส่งผลกระทบสำคัญต่อตลาดยานยนต์หลายแห่ง

ในบริบทดังกล่าว มิชลินเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อกระแสหลักในตลาดยางล้อ

1. การเพิ่มจำนวนขนาดยางล้อ เพื่อรองรับยานยนต์ที่มีน้ำหนักมากขึ้น แนวโน้มนี้ส่งผลโดยตรงต่อปริมาณการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ท่ามกลางความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและการขาดแคลนทรัพยากร แต่มิชลินตอบโจทย์นี้ได้อย่างลงตัวด้วยเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น การลดแรงต้านทานการหมุนของยางล้อซึ่งไม่เพียงช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 4 พันล้านลิตร ตลอดอายุการใช้งานยางล้อในปี 2564 แต่ยังส่งผลต่อเนื่องโดยช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 8.7 ล้านเมตริกตันเมื่อเทียบกับปี 2553 ทั้งนี้ มิชลินมุ่งมั่นที่จะทุ่มเทความพยายามอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2573 เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้ดีขึ้นอีก 10% (ตามข้อมูลของมิชลิน)

2. ยางสำหรับทุกฤดูกาล (All-Season Tire) ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังในยุโรป ยางสำหรับทุกฤดูกาล ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยได้รับความนิยมจากผู้ขับขี่ในภูมิภาคยุโรป กลับประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นโดยมียอดขายสูงขึ้นถึงสามเท่า ยางประเภทนี้ไม่เพียงใช้งานง่าย แต่ยังให้สมรรถนะที่ดีเยี่ยมด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าซึ่งมิชลินพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ ทั้งนี้ กลุ่มมิชลินคาดว่าตลอดระยะ 5 ปีข้างหน้า ตลาดยางประเภทนี้ในยุโรปจะเติบโตมากกว่า 11%

ปัจจัยส่งเสริมความสำเร็จดังกล่าว ได้แก่

- การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและการที่หิมะตกโดยไม่คาดคิด

- การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่างๆ ของยุโรป

- ข้อได้เปรียบสำหรับผู้บริโภคเนื่องจากไม่จำเป็นต้องมียางล้อ 2 ชุด

- พัฒนาการของธุรกิจเดินรถขนส่งและธุรกิจสินเชื่อยานยนต์

3. ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้รับความนิยมสูง การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าทำให้ยางล้อมีบทบาทสำคัญ เนื่องจากยานยนต์ไฟฟ้ามีสมรรถนะและข้อจำกัดเฉพาะตัว จึงมีความต้องการใช้ยางล้อที่มีคุณสมบัติสูงกว่ายางสำหรับใช้งานกับยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบสันดาปภายใน

เพื่อสมรรถนะที่ดี ยางสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าจำเป็นต้องมีคุณสมบัติสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่

- อายุใช้งานที่ยาวนาน เนื่องจากยานยนต์ไฟฟ้ามีแรงบิดสูงกว่าปกติเมื่อเร่งเครื่องและผ่อนคันเร่ง

- แรงต้านทานการหมุนของยางล้อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับระบบอัตโนมัติของยานยนต์ไฟฟ้า

- การรับน้ำหนักบรรทุก ซึ่งถือเป็นปัจจัยพื้นฐานเนื่องจากต้องรองรับน้ำหนักของแบตเตอรี่รถด้วย

- การลดเสียงรบกวน  ทั้งนี้ 70% ของระดับเสียงรบกวนที่เกิดจากยานยนต์ไฟฟ้ามาจากการขับขี่ไม่ใช่จากเครื่องยนต์

ความต้องการข้างต้นถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับมิชลินในการนำเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญที่มีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

โรงงานที่มุ่งปฏิรูปเชิงลึก

ในกิจกรรมวันสื่อมวลชนนานาชาติครั้งแรกนี้ มิชลินยังได้เผยถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินอยู่ ณ โรงงานของกลุ่มมิชลิน โดยตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มมิชลินได้ดำเนิน “การปฏิรูป 3 ด้าน” (Triple Revolution) ในโรงงานผลิต ได้แก่

- การปฏิรูปเชิงมนุษย์ (Human Revolution) ผ่านการตั้งคำถามเชิงลึกในเรื่องเป้าหมายการจัดโครงสร้างองค์กร และพันธกิจ

- การปฏิรูปทางเทคโนโลยี (Technological Revolution) ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีด้านข้อมูลมาใช้ในวงกว้าง

- การปฏิรูปทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Revolution) บนฐานความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืนดำเนินไปด้วยกันได้อย่างสมดุล

โรงงานเชิงมนุษย์ (Human Factories): ภายใต้โมเดลภาวะผู้นำ มิชลินได้เริ่มดำเนินการปฏิรูประบบการทำงานด้วยแนวคิดการให้อำนาจตัดสินใจแก่พนักงาน (Empowerment) ซึ่งปัจจุบันส่งผลเชิงบวกให้เห็นอย่างชัดเจน โดยมิชลินได้นำนวัตกรรมการจัดการที่มีความแปลกใหม่นี้มาพัฒนาใช้ในโรงงานเป็นเวลา 15 ปีแล้ว เพื่อปรับปรุงการทำงานของทีมงานฝ่ายผลิตให้ดีขึ้น ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกนี้ช่วยส่งเสริมให้โรงงานของมิชลินมีผลประกอบการทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทั้งยังทำให้การประกอบอาชีพด้านอุตสาหกรรมเป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้น อีกทั้งกลุ่มมิชลินยังลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาคุณภาพการพูดคุยทางสังคม (Social Dialog) โดยเฉพาะที่ผ่านความร่วมมือกับพนักงานและองค์กรสหภาพแรงงาน ซึ่งจะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและจริงจังตลอดระยะ 10 ปีข้างหน้า

โรงงานเชิงเทคโนโลยี (Technological Factories): มิชลินปฏิรูประบบอุตสาหกรรมขององค์กรด้วยการปรับกระบวนการทำงานให้เข้าสู่ระบบดิจิทัลและการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) มาใช้งาน  ตลอดระยะ 5 ปีที่ผ่านมาได้มีการจัดเก็บข้อมูลสำหรับนำกลับมาใช้ภายใต้สภาพแวดล้อมในการทำงานแบบประสานความร่วมมือกัน เทคโนโลยีโรงงานอัจฉริยะ หรือ Factory 4.0

* โรงงานของมิชลินในที่นี้ครอบคลุมโรงงานของแคมโซ่ (Camso) แต่ไม่รวมโรงงานของเฟนเนอร์ (Fenner)

ซึ่งผสานการทำงานของหุ่นยนต์เข้ากับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ส่งผลให้การปฏิรูปดำเนินไปได้เร็วขึ้นถึงสิบเท่า โดยเฉพาะเรื่องการเพิ่มคุณภาพการผลิตและความยืดหยุ่น นอกจากนี้ยังช่วยยกระดับสภาพแวดล้อมในการทำงานและคุณสมบัติของพนักงาน นวัตกรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยส่งเสริมให้มิชลินบรรลุผลกำไรรายปีที่มีมูลค่าราว 60 ล้านยูโร

โรงงานเชิงนิเวศ (Ecological Factories): ระหว่างปี 2548-2562 มิชลินลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากโรงงานผลิตลงได้แล้วราวกึ่งหนึ่ง แต่เป้าหมายที่กลุ่มมิชลินตั้งไว้สูงกว่านั้นมาก ซึ่งก็คือการบรรลุปริมาณการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Net Emissions) ภายในปี 2593 โดยมีเป้าหมายระยะกลางอยู่ที่การลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 50% ในช่วงปี 2553-2573  การรับมือกับความท้าทายดังกล่าวจะบรรลุผลได้ก็ต่อเมื่อกลุ่มมิชลินเร่งสร้างการรับรู้และการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Energy)  ทั้งนี้ มิชลินไม่ได้ต้องการเพียงลดผลกระทบของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น แต่กลุ่มมิชลินยังมุ่งมั่นที่จะลดปริมาณการใช้น้ำลงให้ได้มากกว่า 30% ภายในปี 2573 อีกด้วย

มิชลินนำเสนอยางล้อ 2 รุ่น ซึ่งผลิตจากวัสดุที่ยั่งยืนในสัดส่วนสูงและผ่านการรับรองสำหรับใช้งานบนท้องถนนทั่วไปแล้ว

เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มิชลินรุกสู่ความก้าวหน้าอีกขั้นด้วยการเปิดตัวยางรถยนต์และยางรถโดยสาร 2 รุ่น ซึ่งผลิตจากวัสดุที่ยั่งยืนในสัดส่วนสูงถึง 45% และ 58% ตามลำดับ ความก้าวหน้าดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของมิชลินที่จะบรรลุเป้าหมายในการผลิตยางล้อโดยใช้วัสดุที่ยั่งยืน 100% ภายในปี 2593 โดยยางทั้งสองรุ่นนำเทคโนโลยีแห่งอนาคตปี 2568 สำหรับการผลิตสินค้าครั้งละมาก ๆ (Mass Production) มาใช้ ความก้าวหน้าเหล่านี้ซึ่งเกิดขึ้นจากความเชี่ยวชาญของมิชลินในด้านวัสดุ การวิจัยและพัฒนา และการร่วมพันธมิตรกับธุรกิจสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรม (Innovatory Startups) จะเป็นประโยชน์ต่อผลิตภัณฑ์ทุกประเภทของกลุ่มมิชลิน ทั้งนี้ การนำวัสดุที่ยั่งยืนมาใช้ในการพัฒนายางล้อเป็นพันธกิจหนึ่งที่กลุ่มมิชลินให้ความสำคัญภายใต้บริบทของการดำรงไว้ซึ่งสมรรถนะที่เหนือกว่าและการใส่ใจไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในทุกขั้นตอนของวัฏจักรผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน และการนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่หรือรีไซเคิล (Recycling)

ฟลอรองต์ เมอเนโกซ์ (Florent Menegaux) ประธานกรรมการบริหารกลุ่มมิชลิน เปิดเผยว่า “มิชลินปฏิรูปองค์กรอย่างต่อเนื่องมาตลอด โดยมุ่งรับมือกับความท้าทายของตลาดยางล้อที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอด้วยเครื่องมือทางอุตสาหกรรมที่เป็นนวัตกรรมใหม่และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งยังเป็นเครื่องมือที่มนุษย์มีบทบาทสำคัญ วัฒนธรรมซึ่งมุ่งเน้นนวัตกรรมของทีมงานมิชลินช่วยขับเคลื่อนให้กลุ่มมิชลินคาดการณ์และคิดค้นโซลูชั่นใหม่ๆ ได้ทุกวันเพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าและสังคม ด้วยเหตุนี้ เราจึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของเรา ทั้งในธุรกิจยาง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยาง และ ธุรกิจอื่นนอกเหนือจากยาง ได้อย่างแน่นอน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘เลอ ม็องส์ 24 ชั่วโมง’ สนามพิสูจน์สมรรถนะ ประสิทธิภาพ และนวัตกรรมจากมิชลิน

การแข่งรถรายการ ‘เลอ ม็องส์ 24 ชั่วโมง’ ที่มีชื่อเสียงระดับตำนาน ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งที่ 93 ปิดฉากลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา

Michelin Energy XM 2+ เบรคสั้น มั่นใจ

ยางมิชลิน เอนเนอจีย์ เอ็กซ์เอ็ม 2 พลัส ช่วยให้คุณเบรกสั้น มั่นใจ ทั้งยางใหม่และใกล้หมดดอก พร้อมด้วยอายุการใช้งานที่ยาวนาน

‘มิชลิน ประเทศไทย’ คว้ารางวัล Top Employer Award ประจำปี 2025

‘มิชลิน’ ผู้นำด้านการสัญจรอย่างยั่งยืนและผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ซึ่งขับเคลื่อนชีวิตที่ดี รับรางวัล ‘Top Employer Award 2025

‘มิชลิน’ ตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ในงาน Asia Pacific Media Day 2024

มิชลิน ผู้นำระดับโลกด้านการผลิตวัสดุคอมโพสิตและการนำเสนอประสบการณ์การเดินทางเพื่อขับเคลื่อนชีวิตที่ดีกว่า จัดกิจกรรมครั้งใหญ่ Michelin Asia Pacific Media Day 2024