ปลูกฝังเด็กอนุบาลรู้กฎจราจร สร้างเมล็ดพันธุ์แห่งความปลอดภัย

เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ตัวชี้วัดหนึ่งคือถนนปลอดภัย แก้ไขปัญหาจุดเสี่ยงที่เป็นอันตรายต่อการใช้รถใช้ถนน การสร้างเครือข่ายเพื่อให้เมืองเชียงใหม่น่าอยู่ ให้เป็นต้นแบบเรียนรู้ระดับประเทศ จึงเป็นสิ่งที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เล็งเห็นความสำคัญตามแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจร และสร้างวัฒนธรรมการขับขี่ที่ปลอดภัย

เมื่อเร็วๆ นี้ นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รองประธานกรรมการกองทุน สสส. คนที่ 2 และประธานกรรมการบริหารแผนคณะที่ 1 สสส. พร้อมคณะและภาคีเครือข่าย ได้ลงพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้งานบูรณาการความปลอดภัยทางถนน ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลสุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ และศูนย์ปฏิบัติการจราจรตำรวจภูธร จว.เชียงใหม่ ซึ่ง นพ.สุรเชษฐ์เปิดเผยว่า สสส.สนับสนุนภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมร่วมขับเคลื่อน ขยาย ยกระดับการทำงานจากประสบการณ์ของพื้นที่ต้นแบบ สู่การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ สร้างวัฒนธรรมการขับขี่ที่ปลอดภัยในระดับพื้นที่ สนับสนุนแผนงานการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) ป้องกันแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในระดับจังหวัดและพื้นที่ ขับเคลื่อน ผลักดันเชิงนโยบาย สร้างมาตรการบังคับใช้กฎหมายด้วยการใช้กล้อง CCTV ร่วมกับ AI ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัย ลดอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มผู้ขับขี่จักรยานยนต์ ขับเคลื่อนกลไกการจัดการความปลอดภัยทางถนนในระดับอำเภอ รวมถึงการขยายผลต้นแบบกลไกการทำงานของจังหวัด ที่บูรณาการลงถึงระดับอำเภอผ่านกลไกศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) พัฒนาและขยายผลศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ต้นแบบปลูกฝังความปลอดภัยทางถนนตั้งแต่วัยเยาว์

"ในปี 2567 เดินหน้ารณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ตามแนวคิด  #Save สมอง...หมวกกันน็อก  สมองไม่น็อก เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการสวมหมวกเพิ่มสูงขึ้น สสส.สนับสนุนภาคีเครือข่ายนักวิชาการ ใช้องค์ความรู้ทำให้เกิดการขยายผลศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่องใน 4 ภูมิภาค 13จังหวัดทั่วประเทศ เกิดตำบลขับขี่ปลอดภัย 21 ตำบล  สถานศึกษาและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์เรียนรู้ โรงเรียน ครอบครัว รวมทั้งหมด 105 แห่ง ซึ่งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลสุเทพ สามารถขับเคลื่อนสร้างวินัยจราจร  และปลูกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้แก่เด็กเล็ก สร้างการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนอย่างยั่งยืน” นพ.สุรเชษฐ์ชี้แจง

นางอรชีรา อาศนะ ครูผู้ชำนาญการประจำศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาล ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ได้รับทุนสนับสนุนจาก สสส.แก้ไขจุดเสี่ยง 7 แห่ง ติดตั้งสัญญาณไฟจราจรด้านหน้าของ รร. เน้นจุดชะลอความเร็ว  ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการปลูกฝังความปลอดภัยบนท้องถนน ด้วยการรณรงค์เด็กอนุบาลวัย 2-6 ขวบ ขอให้พ่อแม่สวมหมวกกันน็อก จากเดิมที่ผู้ปกครองสวมหมวกกันน็อกเพียง 4 ครอบครัว จากเด็กทั้งหมด 157 คน พ่อแม่อ้างว่าบ้านอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนไม่น่าจะเกิดเหตุอันตราย ผู้ปกครองที่ไม่สวมหมวกกันน็อก เด็กจะงอแงไม่อยากมาโรงเรียน เด็กเป็นสื่อกลางให้ผู้ปกครองร่วมมือเป็นอย่างดี ทางโรงเรียนปรับพ่อแม่ที่ไม่สวมหมวกกันน็อกครั้งละ 20 บาท เมื่อรวบรวมเงินแล้วไปซื้อหมวกกันน็อกในสนนราคา 99 บาทจากบริษัทประกันภัยกลาง ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลสุเทพ ที่หมู่ 13 จึงเป็นต้นแบบเพื่อขยายผลสำหรับโรงเรียน สพฐ.ใกล้เคียงอีก 15 หมู่บ้าน ฯลฯ

การดูงานที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลสุเทพตั้งแต่เช้า พ่อแม่ขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งลูกเข้าโรงเรียน ทุกคนสวมหมวกกันน็อก โดยครูจะมารับนักเรียนอนุบาลเข้าไปในโรงเรียน  และยังได้มีการสาธิตแก่กลุ่มนักเรียนอนุบาล ก่อนเดินข้ามถนนจะมีการท่องคาถาว่า หยุดมองขวา มองซ้าย มองขวา  รถไม่มี ถนนปลอดภัย ข้ามได้               

นายพศิน อัคเดชธนโชติ นายกเทศมนตรีตำบลสุเทพ  จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลสุเทพมีถนนตัดผ่านชุมชน แบ่งถนนระหว่างตำบลออกเป็นสองฝั่ง รวมถึงการขยายเมือง และสถานที่ท่องเที่ยวพบปัจจัยที่เกิดจุดเสี่ยง ทางร่วมทางแยกและจุดอับสายตา ขับรถเร็ว ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร ซ้อนท้าย 3-4 คน รวมถึงความหลากหลายของชาติพันธุ์ในพื้นที่ที่ทำให้ไม่ชินทาง ไม่เข้าใจภาษา/ป้ายจราจร ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหน้าเทศบาลหลายราย แม้แต่ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาประชุมที่เทศบาลก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต สสส.เข้ามาสนับสนุน องค์ความรู้จากภาคีเครือข่ายนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญ เชื่อมประสาน สร้างกลไกการทำงาน หนุนเสริมกระบวนการการเรียนรู้ให้แก่ครู สามารถร่วมทำงานกับชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างกิจกรรมความปลอดภัยทางถนน เกิดต้นแบบด้านวินัยจราจร ส่งผ่านไปยังผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง และคนในชุมชน จนทำให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม

“ทางเทศบาลได้ดำเนินแนวทางคือ 1.ทำข้อตกลงร่วมกับผู้ปกครอง ให้สวมหมวก/คาดเข็มขัดนิรภัย 100%  หากไม่ปฏิบัติตามต้องเสียค่าปรับครั้งละ 20 บาทต่อคน/ครั้ง 2.ชุมชนสร้างแกนนำอาสาสมัครเฝ้าระวัง ร่วมกันจัดทำป้ายกำจัดจุดเสี่ยง เอาวัสดุเหลือใช้มารีไซเคิลทำเป็นป้ายบอกจุดเสี่ยงในชุมชน 3.เทศบาลจัดทำเนินชะลอความเร็ว ติดตั้งป้ายจราจร สัญญาณไฟกะพริบ ปิดจุดเสี่ยงอันตรายในชุมชน 4.จัดการเรียนการสอน มุ่งเน้นสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เรียนรู้ภายในห้องเรียน และสถานการณ์จริง ให้เด็กสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน” นายพศินชี้แจง

นพ.ธีรวุฒิ โกมุทบุตร ที่ปรึกษา สอจร.ภาคเหนือตอนบน จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ข้อมูลสถิติปี 2562  อัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ใน จ.เชียงใหม่ มีจำนวนมากกว่า 200 คน ส่วนใหญ่เสียชีวิตในพื้นที่อำเภอเมือง และ 5 อำเภอใกล้เคียง มาจากสภาพแวดล้อม ความมืด ทำให้เห็นเส้นทางไม่ชัดเจนในเวลากลางคืน ขับเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ดื่มแล้วขับขี่ อัตราการสวมหมวกนิรภัยมีเพียง 10-30% จำเป็นต้องสร้างนวัตกรรม และเครื่องมือปรับเปลี่ยนลดพฤติกรรมเสี่ยง ลดอัตราการบาดเจ็บ และเสียชีวิตของกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ สอจร.ภาคเหนือตอนบน ใช้แนวคิดกล้อง CCTV อัจฉริยะตรวจจับผู้ขับขี่ที่ไม่สวมหมวกนิรภัย ใช้ Software โดยติดตั้ง AI โดยกล้องสามารถตรวจจับภาพได้ชัดเจนแม้ในเวลากลางคืน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายใน 1 เดือน พบว่าประชาชนในพื้นที่ใส่หมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% ทุกจุด ในพื้นที่ 5 อำเภอเสี่ยง ได้แก่ อ.เมืองเชียงใหม่ อ.สันทราย อ.สารภี อ.หางดง และ อ.แม่ริม มีผู้สวมหมวกนิรภัยมากถึง  80% ลดตายครึ่งหนึ่งทั่วไทย ทำได้พิสูจน์แล้วที่เชียงใหม่ นอกจากนี้ได้สร้างการรับรู้ผ่านสื่อทุกรูปแบบ ทั้งสื่อสังคมออนไลน์ สื่อกลางแจ้ง หากไม่ใส่หมวกนิรภัยจะมีใบสั่งปรับถึงบ้าน

“ชีวิตคนไทยแพงมากที่จะต้องเสียชีวิตในวัยหนุ่มสาว  จำนวน 25% ของคนไทยตายด้วยรถจักรยานยนต์และไม่สวมหมวกกันน็อกกว่าหมื่นรายทุกปี พ่อแม่ซื้อจักรยานยนต์ให้ลูกขับขี่โดยไม่มีใบขับขี่ พากันไปแว้น ที่เชียงใหม่คนเสียชีวิตปีละ 600 ราย จำนวน 400 รายขี่จักรยานยนต์ ตาย 50 คน ใน 25 อำเภอ” นพ.ธีรวุฒิเปิดเผย

พ.ต.อ.ไพศาล นันตา รองผู้บังคับการตำรวจภูธร จว. เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ตำรวจภูธร จว.เชียงใหม่ ร่วมกับ สอจร.ดำเนินการเพิ่มมาตรการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพระดับจังหวัด เร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ทดแทนปัจจัยเสี่ยง ควบคู่กับการวางแผนกำลังคนเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยี พัฒนาระบบและศูนย์สารสนเทศเพื่อกำกับติดตามปัจจัยเสี่ยงทางถนน ขยายขีดความสามารถของการใช้เทคโนโลยี จัดเก็บข้อมูลปัจจัยเสี่ยง ใช้กล้องอัตโนมัติเพื่อบันทึกภาพผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยด้วยซอฟต์แวร์เทคโนโลยี Al จากมูลนิธิเพื่อถนนที่ปลอดภัยกว่า (Safer Roads Foundation) หลังจากใช้กล้องอัตโนมัติพบว่าประชาชนเกรงกลัวการจับปรับ จึงเปลี่ยนพฤติกรรม เกิดความร่วมมือสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นในหลายอำเภอ รวมถึงใช้โซเชียลมีเดียนำเสนอรายละเอียดเรื่องกฎหมาย และร่วมกับสื่อในพื้นที่ ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น ประชาชนสวมหมวกนิรภัยเพิ่มมากขึ้น 20% และสวมหมวกนิรภัยมากกว่า 90% ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกจุดที่มีการติดตั้ง ประเด็นสำคัญที่สุดสามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ลงกว่า 50%.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เครือข่าย “ชุมชนล้อมรักษ์” ต้นแบบช่วยผู้ติดยามีความหวัง

ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาองค์รวม การแก้ไขไม่ใช่แค่เพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น แต่ถือเป็นปัญหาสุขภาพความเจ็บป่วย เมื่อเป็นแล้วก็เป็นใหม่ได้อีก

สสส. ปลื้ม ครบรอบ 4 ปี ThaiHealth Academy พัฒนานวัตกรรมหลักสูตรสุขภาวะ 82 หลักสูตร

เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567 ที่โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ แพลทินัม ประตูน้ำ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ หรือ ThaiHealth Academy

"ออมสุขภาพ” รับวัยเกษียณ เตรียมพร้อมสู่สังคมผู้สูงวัย

สังคมไทยเดินเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ขณะนี้มีผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 12 ล้านคน จากจำนวนคนไทย 66 ล้านคน และในอนาคตคืออีก 60 ปีข้างหน้า

เด็กไทย 1 ใน 10 น้ำหนัก/ส่วนสูงหลุดเกณฑ์ กระทบสมอง เสี่ยงปัญหาสุขภาพจิต ป่วย NCDs

นางเบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากข้อมูลพัฒนาการเด็กปฐมวัยของไทย ปี 2566 โดยกรมอนามัย

วิจัยพบสังคมไทยเหลื่อมล้ำทุกมิติ สื่อสารในครอบครัวลดช่องว่างได้

ผลสำรวจเด็กและเยาวชนไทยปลอดภัยจากความรุนแรงออนไลน์ รั้งท้ายโลกเป็นอันดับที่ 29 เหนือกว่าอุรุกวัยเพียงประเทศเดียวเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบ 30 ประเทศทั่วโลกเมื่อปี 2022

กทม.เนรมิตเมือง 15 นาทีเป็นจริง สร้างพื้นที่สีเขียวอิ่มเอมใจทั่วกรุง

กทม.ทวีความรุนแรง เมืองจมฝุ่น การจราจรติดขัด ขาดแหล่งอาหาร สำรวจคนกรุงเผชิญรถติดเฉลี่ยวันละ 2 ชั่วโมง หรือใน 1 ปีชีวิตติดหนึบอยู่บนรถเท่ากับ