
อบก. ไฟเขียว ต้นยางพาราสามารถนำมาผ่านกระบวนการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตได้ กยท. รับลูก เร่งขับเคลื่อนพัฒนาสวนยางที่ขึ้นทะเบียนไว้กว่า 20 ล้านไร่ทั่วประเทศ ให้มีความเป็นกลางทางคาร์บอนตามนโยบายรัฐบาล มั่นใจจะสร้างรายได้เสริม เพิ่มโอกาสสร้างความมั่นคงและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางควบคู่ไปกับการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) เปิดเผยว่า กยท.ได้วางแผนที่จะพัฒนาสวนยางพาราที่ขึ้นทะเบียนไว้ประมาณ 20 ล้านไร่ ให้เป็นสวนยางที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดเป้าหมายนำประเทศไทยก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป็นประเทศผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ตลอดจนบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ได้ในปี ค.ศ. 2065 ซึ่งขณะนี้ องค์กาบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ได้ยืนยันแล้วว่า ยางพาราเป็นไม้ยืนต้นที่สามารถกักเก็บคาร์บอนได้ และสามารถนำมาผ่านกระบวนการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตได้
สำหรับไม้ที่นำมาซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตนั้น อบก. ได้กำหนดไว้ว่า จะต้องจัดอยู่ในกลุ่มไม้โตไว 58 ชนิด ตามที่กรมป่าไม้ประกาศ แต่ยางพาราก็สามารถเข้าร่วมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้เช่นกัน เนื่องจากเป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนในเชิงเศรษฐกิจสูง มีรอบตัดฟันที่ยาว มีอายุนานหลายปี มีคุณสมบัติเหมือนไม้ยืนต้น และมีปริมาณเนื้อไม้เป็นหลัก จึงมีคุณสมบัติในการกักเก็บคาร์บอน ดังนั้น เกษตรกรชาวสวนยาง จึงสามารถนำยางพารามาซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตได้ ช่วยเพิ่มรายได้เช่นเดียวกับไม้ยืนต้นชนิดอื่น
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนพัฒนาสวนยางพาราที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ กยท. ให้เป็นสวนยาง Carbon neutrality นั้น ล่าสุด กยท.ได้ลงนามบันทึข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) กับ อบก. ในการพัฒนาโครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต เพื่อให้สามารถนำต้นยางพาราที่อยู่ในพื้นที่สวนยางนำมาผ่านกระบวนการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตสร้างรายได้เสริมนอกเหนือจากการขายผลผลิตยางเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ควบคู่ไปกับการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายของรัฐบาล

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กยท. ได้นำร่องดำเนินโครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตและยื่นขึ้นทะเบียนกับ อบก. เพื่อทำเป็นสวนยางต้นแบบที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน ในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ จันทบุรี เลย และสุราษฎร์ธานี มีสวนยางของเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ จำนวน 2,299 รายกว่า 50,000 ไร่ คาดว่า โครงการนำร่องในช่วง 7 ปีแรก จะสามารถสะสมปริมาณคาร์บอนเครดิตได้กว่า 1.3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) คิดเป็นมูลค่ากว่า 390 ล้านบาท ซึ่งหากเกษตรกรมีสวนยาง 1 ไร่ จะสามารถกักเก็บปริมาณคาร์บอนเครดิตได้ประมาณ 4 ตัน สร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตเฉลี่ย 1,200 บาท/ไร่ ถือเป็นรายได้เสริมที่เกษตรกรจะได้รับจากพื้นที่สวนยาง นอกเหนือจากการขายผลผลิตยางเพียงอย่างเดียว
ผู้ว่าการ กยท. กล่าวต่อว่า ภายใต้ MOU ดังกล่าว ยังจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการนำเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำสูงมาใช้ในการประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในสวนยาง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด เช่น เทคโนโลยี LiDAR อากาศยานไร้คนขับ และดาวเทียม ตลอดจนกำหนดแนวทางและกิจกรรมเพื่อยกระดับการจัดการสวนยางให้ดียิ่งขึ้น โดยการยืดอายุสวนยางด้วยวิธีการกรีดยางหน้าสูง การใช้แก๊สเอทธิลีนเร่งน้ำยาง และการกรีดยาง ด้วยระบบกรีดความถี่ต่ำ ซึ่งจะช่วยยืดอายุการโค่นได้อีก 5-10 ปี และเพิ่มปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในสวนยางมากขึ้น ควบคู่ไปกับการลดปริมาณการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน ซึ่งนอกจากจะช่วยลดทุน ยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ระดับราคายางมีการปรับตัวสูงขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ กยท. ยังได้วางแนวทางในการหาตลาดรองรับจากภาคเอกชนที่มีความต้องการซื้อคาร์บอนเครดิต รวมถึงสร้างความร่วมมือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการพัฒนาแพลตฟอร์มกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตในอนาคต ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลกำหนดไว้

ส่วนราคาที่จะใช้ในการซื้อขายคาร์บอนเครดิตนั้น ถ้าเป็นสวนยางพาราจะซื้อขายในราคาที่ต่ำว่าสวนป่าที่ปลูกไม้ยืนต้นที่ไม่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิต ในขณะที่เกษตรกรชาวสวนยางยางมีรายได้หลักจากการขายผลผลิต คือ น้ำยางและไม้ยางอยู่แล้ว การขายคาร์บอนเครดิตเป็นรายได้เสริม ซึ่งจะซื้อขายในราคาประมาณ 100-3,000 บาท/tCO2e อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เป็นการซื้อขายแบบสมัครใจยังไม่มีการบังคับอย่างเป็นทางการ ดังนั้น หากมีการบังคับด้วยกฎหมายการจัดเก็บภาษีก๊าซเรือนกระจกก่อนข้ามพรมแดนหรือกำหนดเป็นเงื่อนไขสำหรับสิบค้านำเข้าเป็นการทั่วไปแล้ว ราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้เกษตรกรชาวสวนยางจะมีรายได้เพิ่มขึ้น สร้างความมั่นคงให้กับอาชีพการทำสวนยางอย่างยั่งยืน
"หลังจาก กยท. นำร่องดำเนินโครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต ในพื้นที่สวนยางต้นแบบทั้ง 3 จังหวัดดังกล่าวแล้ว ก็จะขยายผลไปยังไปสวนยางในพื้นที่อื่นๆที่มีความพร้อม โดยตั้งเป้าพัฒนาให้เป็นสวนยางCarbon neutrality ให้ใด้ 10 ล้านไร่ ภายในปี 2573 และภายในปี 2593 สวนยางที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ กยท. ที่มีอยู่ประมาณ 20 ล้านไร่ จะเป็นสวนยาง Carbon neutrality ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้เกษตรกรชาวสวนยางได้รับประโยชน์จากซื้อขายคาร์บอนเครดิต พร้อมทั้ง กยท. จะพัฒนาองค์กรให้เป็นผู้ตรวจสอบประเมินคาร์บอนเครดิตที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ อบก. อีกด้วย" ผู้ว่าการ กยท.กล่าวในตอนท้าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชายแดนเดือด! คนสุรินทร์ผวาบึ้ม แห่ขายยางหาเงินอพยพ
ผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่ไปตามติดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้พบกับชาวบ้านไทยสันติสุข หมู่ที่ 16 ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เพื่อพูดคุยสอบถามถึงสถานการณ์ชายแดน
ราคายางทะลุเลข 3 หลัก...ความฝันหรือความจริง?
"ภายในปลายปีนี้หรือต้นปี 2569 ราคายางจะมีเสถียรภาพมากขึ้น และมีโอกาสสูงที่จะได้เห็นราคายางแผ่นรมควันชั้น3 ทะลุเลข 3 หลักอย่างแน่นอน"
กยท. มั่นใจจีนยกเว้นภาษีนำเข้ายางพาราไทย 0% ช่วยเสริมศักยภาพ ขยายตลาดได้เพิ่มขึ้น
กยท. ประสบผลสำเร็จในการเจรจากับรัฐบาลจีน ยกเว้นภาษีนำเข้ายางพาราจากไทยเหลือ 0% เผย สามารถเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้ไทยขยายตลาดยางได้เพิ่มขึ้น พร้อมมั่นใจกฎ EUDR จะช่วยให้จีนต้องการยางจากไทยมากขึ้น สร้างความมั่นคงและเพิ่มเสถียรภาพให้ยางพาราของไทยอย่างแน่นอน
กยท.หนุนชาวสวนยางที่ยื่นขอโค่นยางฯ ด้วยทุนตนเองไว้แล้ว การันตี!!จ่ายเงินกว่า 2,800 ล้าน ครบภายในก.ย. นี้
กยท.เดินหน้าอนุมัติคำขอ - พร้อมจ่ายเงินส่งเสริมและสนับสนุนกษตรกรชาวสวนยางในการปลูกยางทดแทน หวังลดภาระหนี้สินให้ชาวยาง พร้อมเร่งรัดจ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกรที่ยื่นคำขอฯ
กยท. ถอดบทเรียน รุกฆาตปราบปรามยางเถื่อน เพิ่มโทษยึดทรัพย์ ยันไม่เป็นมวยล้มมั่นใจราคาทะลุสามหลัก
กระทรวงเกษตรฯ เอาจริงปรับเกมส์รุกประกาศสงครามปราบปรามยางเถื่อน กยท. ถอดบทเรียนทบทวน แก้ไข อุดช่องโหว่กฎหมาย ปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ยางพาราแนวโน้มดี คาดสิ้นปีนี้อาจแตะเลข 3 หลัก ยันภาษีสหรัฐไม่กระทบ/จับมือหน่วยงานรัฐเพิ่มปริมาณการใช้
กยท. เดินหน้าสร้างเสถียรภาพยางพารา มั่นใจการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐไม่ส่งผลกระทบ เร่งเพิ่มการใช้ยางภาครัฐ จับมือหน่วยงานราชการใช้ยาง Greenergy Tyre


