ภายหลังจากรัฐบาลเห็นชอบให้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนสิริกิติ์ ที่บ้านผาซ่อม ต.ผาเลือด อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ เมื่อปี 2500 และได้ให้กรมประชาสงเคราะห์(กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการในปัจจุบัน) ดำเนินการจัดเตรียมพื้นที่รองรับราษฎรที่อพยพโยกย้ายออกจากบริเวณพื้นที่น้ำท่วมของอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ โดยได้จัดตั้งเป็นนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านขึ้นที่บริเวณท้ายน้ำของเขื่อนดินปิดช่องเขาต่ำ (Saddle Dam) อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ มีพื้นที่ประมาณ 143,000 ไร่ ราษฎรที่อพยพมาเมื่อปี 2512 มีจำนวน 3,276 ครอบครัว ได้รับการจัดสรรพื้นที่ให้ครอบครัวละ 15 ไร่ ปัจจุบันมีราษฎรอาศัยอยู่ประมาณ 6,856 ครอบครัว รวมเป็นประชากรประมาณ 24,501 คน
ราษฎรที่อพยพดังกล่าว ถือเป็นราษฎรที่เสียสละที่ดินตนเองเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่9 จึงมีพระราชดำริ เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเปิดเขื่อนสิริกิติ์ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 4 มีนาคม 2520 ให้จัดหาน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และการเพาะปลูกให้กับราษฎรในพื้นที่แปลงอพยพ
กรมชลประทานน้อมนำพระราชดำริมาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำจากอาคารระบายน้ำของเขื่อนดินปิดช่องเขาต่ำของเขื่อนสิริกิติ์ เพื่อส่งน้ำให้แปลงอพยพ อย่างไรก็ตามพื้นที่แปลงอพยพมีสภาพสูง ต่ำ สลับกับเนินเขามีระดับความสูงต่ำแตกต่างกันมากถึง 125 เมตรทำให้ระบบท่อส่งน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ ส่งน้ำได้เพียงประมาณร้อยละ 5 ถึง10 ของพื้นที่เป้าหมายเท่านั้น อีกทั้งการจะสูบน้ำมาเพื่อพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่มากกว่า50,000ไร่มีราคาสูง ทำให้ชาว อ.ท่าปลาเกิดการขาดแคลนน้ำอุปโภค – บริโภครุนแรง โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง และไม่มีน้ำเพื่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรมซึ่งเป็นอาชีพหลัก
ต่อมาในระหว่างนี้ในช่วงปี พ.ศ.2542-2546 ราษฎรบ้านห้วยต้าได้ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาต่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมราษฎรบ้านห้วยต้า ต.นางพญา อ.ท่าปลา นอกจากนี้ยังมีตัวแทนสมาชิกนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน ได้ทำหนังสือถึงสำนักราชเลขาธิการ ขอให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทางราชการดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรี เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำในการทำกิจกรรมต่าง ๆ กระทบต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและการดำเนินชีวิตประจำวัน
ระหว่างนี้กรมชลประทานได้ดำเนินการตรวจสอบสภาพภูมิประเทศ และศึกษาข้อมูลต่างๆ ในเบื้องต้นเพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือ พบว่ามีความเป็นไปได้ในการดำเนินการทางวิศวกรรม แต่พื้นที่อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ และมีพื้นที่ส่วนหนึ่งของอ่างเก็บน้ำอยู่ในเขตพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำที่ 1A ดังนั้นจึงต้องทำการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อประกอบในการขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีและดำเนินการโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรี ซึ่งกรมชลประทานได้ทำการว่าจ้างศูนย์วิศวกรรมพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยได้รับความร่วมมือทางวิชาการจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ให้ทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีฯ
นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรี พร้อมระบบผันน้ำ ระบบส่งน้ำและอาคารประกอบไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตามหนังสือของสำนักราชเลขาธิการลงวันที่ 29 กันยายน 2548
การพิจารณารายงานการศึกษาทบผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรี ได้มีการพิจารณาทบทวนในประเด็นต่างๆหลายต่อหลายครั้ง ก่อนที่ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พิจารณาเห็นชอบรายงานการศึกษาทบทวนรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2553 และให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กําหนดไว้
ต่อมา เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชล ประทานดำเนินการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมี แผนการดำเนินงานโครงการ 8 ปี (ปีงบประมาณพ.ศ.2554-2561) อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 14 กันยายน พ.ศ.2564 ได้มีการอนุมัติขยายระยะเวลาโครงการ เป็น 15 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ.2554-2568)
นายยุทธนา มหานุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 3 กรมชลประทาน กล่าวว่า โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นเขื่อนดินแบบแบ่งส่วน (Zone Type Dam) สูง 55 เมตร ยาว 440 เมตร ความจุ 73.70 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) พร้อมอุโมงค์ส่งน้ำยาวความยาว 1,831.59 เมตร และระบบส่งน้ำด้วยท่อความยาวรวม 250 กิโลเมตร มีปริมาณน้ำท่าไหลลงอ่างฯ เฉลี่ย 100.9 ล้านลบ.ม.ต่อปี สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภค – บริโภคของราษฎรบริเวณพื้นที่แปลงอพยพของเขื่อนสิริกิติ์จำนวน 6,856 ครอบครัว ประชากรรวม 24,501 คน และยังเพิ่มพื้นที่ชลประทานฤดูฝนได้ 53,500 ไร่ ฤดูแล้ง 39,920 ไร่ มีหมู่บ้านได้รับประโยชน์จำนวน 60 หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่ 9 ตำบล ได้แก่ ต.จริม หาดล้า ท่าปลา ร่วมจิต น้ำหมัน ในเขตอำเภอท่าปลา และ ต.วังดิน หาดงิ้ว บ้านด่าน แสนตอ ในเขต อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์
“โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการสูบน้ำ ราษฎรมีความมั่นคงด้านน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค เกษตรกรรมตลอดทั้งปี อีกทั้งยังเป็นแหล่งแพร่ขยายพันธุ์ปลาน้ำจืดให้ราษฎรได้บริโภคและมีรายได้เสริม และเมื่อโครงการ ฯ มีการปรับภูมิทัศน์เสร็จสมบูรณ์ในปี 2568 ก็จะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดอุตรดิตถ์ ช่วยสร้างรายได้ให้กับคนท้องถิ่นได้อีกด้วย” ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 3กล่าว
ในขณะที่ตัวแทนราษฎรในพื้นที่ นางสาววันทนา สุขประเสริฐ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 12 ต.จริม อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ กล่าวยืนยันว่า เมื่อครั้งอพยพมาที่ ต.จริม ในปี 2514 ราษฎรส่วนใหญ่ในพื้นที่ประกอบอาชีพเกษตรกรทำนาข้าว และทำสวนมะม่วงหิมพานต์ ใช้น้ำฝนทำเกษตรเป็นหลัก ถ้าปีไหนไม่มีฝนก็ไม่มีผลผลิตหรือได้น้อย ทำให้ขาดรายได้ น้ำที่นำมาใช้ในครัวเรือนต้องจ่ายเงินซื้อ แรงงานในพื้นที่จึงออกไปทำงานหารายได้ที่อื่น จนเมื่อมีการสร้างอ่าง ฯ ห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทำให้พวกเรามีน้ำกินน้ำใช้ตลอดทั้งปี ที่สำคัญได้ทำนาทุกปี บางปีทำนาได้ 2-3 ครั้ง
นอกจากนี้เกษตรกรยังมีน้ำเพื่อการปลูกพืชสวนอื่น ๆ เช่น ทุเรียน และ อินทผาลัม ที่ตอนนี้เป็นสินค้าส่งออก มาตรฐาน OTOP ระดับ 5 ดาว รวมไปถึงมะม่วงหิมพานต์ก็มีเม็ดอวบขึ้น เนื่องจากได้น้ำเพียงพอ ช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคง เพิ่มความยั่งยืนให้แก่ชุมชน ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรในพื้นที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก อีกทั้งล่าสุดยังได้มีการสร้างสกายวอล์คห้วยน้ำรี จุดชมวิวโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างรายได้เสริมให้กับชุมชนอีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดร.รวีวรรณ ปลัดกระทรวงฯ นำทีม ทส. ชวนประชาชนพกถุงผ้า ลดใช้ถุงพลาสติก ในงานกาชาด ปี 2568
วันนี้ (19 ธันวาคม 2568) เวลา 16.30 น. ดร.รวีวรรณ ภูริเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จัดพิธีประสาทปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ประจำปี 2568
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จัดพิธีประสาทปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ประจำปี 2568 โดยมี ดร.มัทนา สานติวัตร อุปนายกสภามหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นประธานในพิธี
คนดังการเมืองแห่สมัครสส.พรรคภูมิใจไทยต่อเนื่อง "กุลวลี - สุดารัตน์ - รัชดา -หมอเอกภพ" ร่วมสู้ศึกเลือกตั้ง
คนดังการเมืองแห่สมัครสส.พรรคภูมิใจไทยต่อเนื่อง "กุลวลี - สุดารัตน์ - รัชดา -หมอเอกภพ" ร่วมสู้ศึกเลือกตั้ง
จุฬาฯ-มหิดล ผนึกกำลังสร้างนวัตกรรมเวชสำอางจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ไทย เตรียมทดสอบทางคลินิกที่ศิริราช
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหิดล ลงนามถ่ายทอดเทคโนโลยี "AnthoRice™ Complex" นวัตกรรมเซรั่มบำรุงรากผมจากสารสกัดข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ไทย
C PAINT พลิกโฉมงานซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ไทย เปิดกลยุทธ์ Pop-up Store รายแรก ตั้งเป้า 100 สาขา รองรับงานซ่อม 50,000 คัน รับการเติบโตของตลาด EV
C PAINT คือศูนย์ซ่อมสีและตัวถังรถยนต์มาตรฐานครบวงจร ที่พัฒนาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้รถยุคใหม่ ด้วยคุณภาพระดับศูนย์บริการ เทคโนโลยีพ่นสีสมัยใหม่ ห้องอบสีมาตรฐาน และระบบควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน รองรับรถทุกประเภท ทั้งรถสันดาป รถไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า
TOA เปิดตัวเทรนด์สี 2026 ‘The Pigmentum’ เมื่อสีสันคือพลังขับเคลื่อนชีวิต พร้อมเจาะลึก 4 กลุ่มสี สะท้อนตัวตน จาก 5 สถาปนิกนักออกแบบชั้นนำ
ในทุกๆ ปี วงการสีทาอาคาร ต่างตั้งตารอการประกาศเทรนด์สีใหม่จาก บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ผู้นำตลาดสีอาคารอันดับหนึ่งของไทย และสำหรับปี 2026 นี้ TOA ได้ก้าวข้ามคำว่า 'เฉดสี' ไปสู่การสร้างพลัง แรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนชีวิต ภายใต้คอนเซ็ปต์สุดล้ำที่ชื่อว่า “The Pigmentum” ประกอบด้วย 4 กลุ่มเทรนด์สีที่สะท้อนถึงพลังของอารมณ์ ความคิด และจิตใจ โดยความร่วมมือกับ 5 สถาปนิกนักออกแบบชั้นนำของประเทศไทย

