รักษาความสมดุลของน้ำใต้ดิน ด้วยระบบกักเก็บน้ำในถ้ำ เพิ่มน้ำต้นทุนพื้นที่ต้นน้ำ

“นับเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่ทำให้พื้นที่สูงในพื้นที่ภาคเหนือมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี ทั้งน้ำบนดินและน้ำใต้ดิน มีหนึ่งเดียวในประเทศไทย ทำให้ทุกคนมีน้ำใช้ตลอดทั้งปีอย่างเพียงพอทั้งอุปโภคบริโภคและทำการเกษตร สร้างความชุ่มชื้นและความสมบูรณ์ให้พื้นที่เพาะปลูกได้เป็นอย่างดี” นางสาวนภัสสร เมืองเมา หนึ่งในเกษตรกรผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการระบบกักเก็บน้ำในถ้ำตามพระราชดำริ (ถ้ำห้วยลึก) บ้านห้วยลึก เปิดเผยในระหว่างให้การต้อนรับนายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมด้วย นางสุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) และคณะอนุกรรมการฯ ในโอกาสติดตามการดำเนินงานของโครงการระบบกักเก็บน้ำในถ้ำตามพระราชดำริ (ถ้ำห้วยลึก) ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา

“ปัจจุบันประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็นรุ่นที่ 2 ต่อจากพ่อแม่ บนที่ดิน 5 ไร่ โดยปลูกดอกเบญจมาศ และพืชผักเมืองหนาว เช่น สลัดแก้ว กรีนคอส กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค ผักกาดขาว โดยผลผลิตส่งจำหน่ายในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่และตลาดในกรุงเทพมหานคร โครงการนี้ทําให้ชาวบ้านมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี ทำให้ความชื้นในดินมีมากโดยเฉพะทางด้านล่าง ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะปลูก ลำไย มะม่วง และพืชผักเมืองหนาวต่างๆ ทำให้ผลผลิตดีสมบูรณ์ รู้สึกภาคภูมิใจและดีใจอย่างมาก นับเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่ทำให้พื้นที่สูงแบบนี้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี ทั้งน้ำบนดินและน้ำใต้ดิน มีหนึ่งเดียวในประเทศไทย ทำให้ทุกคนที่นี่มีน้ำใช้ตลอดทั้งปีอย่างเพียงพอ” นางสาวนภัสสร เมืองเมา กล่าว
ด้านนายปา เลาจาง เกษตรกรสมาชิกโครงการหลวงห้วยลึก บ้านห้วยลึก หมู่ที่ 7 ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เผยว่า “เมื่อก่อนที่ยังไม่มีโครงการฯ ในพื้นที่ค่อนข้างแห้งแล้งแม้ในช่วงฤดูฝน ฝนที่ตกลงมาจะไหลลงสู่เบื้องล่างหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เกิดความแห้งแล้ง หลังจากมีโครงการฯ ปัญหานี้ก็หมดไป ก่อเกิดดินดี น้ำดี เพาะปลูกพืชผักได้รับผลผลิตสมบูรณ์ ทั้งชุมชนที่อยู่ใกล้โครงการฯ และทางด้านล่างของโครงการระบบกักเก็บน้ำในถ้ำตามพระราชดำริ (ถ้ำห้วยลึก) ซึ่งจะมีน้ำซึมจากใต้ดินลงไปได้ใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึง”

“ผลผลิตที่ได้ ส่งจำหน่ายให้แก่โครงการหลวงห้วยลึกทั้งหมด โดยเฉพาะพืชผักเมืองหนาวเป็นที่นิยมมาก รู้สึกดีใจที่มีโครงการเก็บกักน้ำแบบนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานโครงการฯ นี้มาให้แก่ราษฎรในพื้นที่ ทุกวันนี้มีน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกพืช ผลผลิตดีมีคุณภาพ ขายได้ราคา ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่ขัดสนเหมือนเมื่อก่อน ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นตามลำดับ” นายปา เลาจาง กล่าว

นางสุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการ กปร. เผยว่า โครงการระบบกักเก็บน้ำในถ้ำตามพระราชดำริ (ถ้ำห้วยลึก) เกิดขึ้นจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรบริเวณต้นน้ำแม่แตงในพื้นที่โครงการหลวงแกน้อย และโครงการหลวงพัฒนาที่ดินห้วยลึก อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2524 ได้พระราชทานพระราชดำริให้พิจารณาบริเวณที่เหมาะสมเพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก และพระราชทานลายพระหัตถ์กำหนดพิกัดบริเวณก่อสร้างอ่างเก็บน้ำดังกล่าวเป็น “เครื่องหมายกากบาท 3 จุดลงในแผนที่”

ซึ่งต่อมาพบว่าคือภูเขาหินปูนที่ภายในมีโพรงถ้ำขนาดใหญ่ สามารถกักเก็บน้ำได้ตามพระราชประสงค์ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันออกแบบก่อสร้าง และเริ่มก่อสร้างในปี 2548 แล้วเสร็จเดือนมีนาคม 2549

“เป็นวิธีการกักเก็บน้ำอีกรูปแบบหนึ่ง ด้วยการลดการระเหยของน้ำขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศทำให้ระดับน้ำใต้ดินเพิ่มขึ้น เกิดความชุ่มชื้นแก่ผืนดินโดยเฉพาะช่วงฤดูแล้ง ขณะในฤดูน้ำหลากก็เป็นที่กักเก็บน้ำ ปัจจุบันสามารถส่งน้ำสนับสนุนให้แก่ราษฎรโดยมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 200 ไร่ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มปริมาณระดับน้ำใต้ดินให้สูงขึ้น เกิดประโยชน์ต่อพื้นที่การเกษตร และการอุปโภค-บริโภค ของราษฎรด้านท้ายโครงการได้เป็นอย่างดี” เลขาธิการ กปร. กล่าว

โครงการระบบกักเก็บน้ำในถ้ำตามพระราชดำริ (ถ้ำห้วยลึก) มีอาคารดักตะกอนในลำห้วยลึกด้านเหนือถ้ำฯ เพื่อป้องกันตะกอนดินและเศษกิ่งไม้ไม่ให้เข้าไปภายถ้ำฯ ปรับปรุงการรั่วซึมบริเวณภายในและภายนอกถ้ำโดยการปิดรูโพรงต่างๆ ด้วยระบบเข็มดินซีเมนต์ ที่มีความสามารถในการรับน้ำหนักของชั้นใต้ดินและลดการรั่วซึมของน้ำผิวดินได้ดี ทำให้สามารถเก็บกักน้ำไว้ในถ้ำได้มากขึ้น โดยไม่กระทบต่อระบบนิเวศรอบพื้นที่โครงการฯ และจากปริมาณน้ำเก็บกักยังช่วยให้ระดับน้ำใต้ดินมีปริมาณและอาณาเขตที่เพิ่มขึ้น อันนำมาซึ่งประโยชน์ด้านความชื้นของผิวดินที่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์ด้านการเกษตรของราษฎรได้ตลอดทั้งปี

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ธ สถิตในใจไทย ตราบนิจ นิรันดร์

ตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยหลักทศพิธราชธรรม “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” เพื่อให้บ้านเมืองและประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่

กปร. – มหาดไทย จับมือขับเคลื่อน “One Plan” บูรณาการโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

สำนักงาน กปร. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้วยระบบ “One Plan” มุ่งเน้นการวางแผนแบบจากล่างขึ้นบน Bottom-Up รับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่โดยตรง ลดการใช้งบประมาณที่ซ้ำซ้อน และเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืน

กปร. เปิดคู่มือ One Plan ยกระดับโครงการพระราชดำริ 17 จังหวัดเหนือ

สำนักงาน กปร. เดินหน้ายกระดับการบริหารและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเชิงพื้นที่ เปิดตัว“คู่มือ One Plan” นำร่อง 3 จังหวัดภาคเหนือ น่าน พิษณุโลก และเชียงใหม่ มุ่งสร้างกลไกการทำงานแบบบูรณาการจากระดับพื้นที่ ลดความซ้ำซ้อน

พลิกดินแล้งเป็นสวนผลไม้ ต่อยอดการใช้ประโยชน์ โครงการฝายห้วยน้ำพร้าฯ ตำบลนางพญา อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์

สำนักงาน กปร.ร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินหน้าต่อยอดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ส่งเสริมการปลูกที่เหมาะสมกับพื้นที่ สนับสนุนการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มแปลงใหญ่ ควบคู่ไปกับการ

จากพื้นที่แห้งแล้งสู่แหล่งเกษตรมั่นคง “ห้วยต่อน้อย” ต้นแบบความร่วมมือของราษฎร

ราษฎรตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ร่วมกันเสียสละพื้นที่สวนยางพารา เพื่อก่อสร้าง “อ่างเก็บน้ำบ้านห้วยต่อน้อยพร้อมระบบส่งน้ำ” ตามที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

“ฝายคลองใหญ่” เสริมชีวิต สร้างน้ำเปลี่ยนผืนดิน สู่สวนผสมผสานยั่งยืน

จากนาร้างไร้น้ำ สู่สวนผลไม้เขียวขจีตลอดปี ราษฎรบ้านยูงงาม และบ้านโหล๊ะคล้า ตำบลโพรงจระเข้ อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง พลิกฟื้นผืนนาแห้งแล้งกว่า 2,000 ไร่ ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง