EBC Financial แนะนักลงทุนลดเลเวอเรจ-เพิ่มทองคำ รับมือตลาดผันผวน

ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความผันผวนของสินทรัพย์หลากหลายประเภท เดวิด บาร์เร็ตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ EBC Financial Group (UK) Ltd ออกมาเรียกร้องให้นักลงทุนทั่วโลกปรับกลยุทธ์การลงทุนด้วยการลดการใช้เลเวอเรจ กระจายการลงทุนอย่างรอบคอบ และเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอน

คำแนะนำดังกล่าวถูกถ่ายทอดผ่านบทสัมภาษณ์พิเศษที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน China Central Television (CCTV) โดยบาร์เร็ตต์ได้ให้กรอบแนวทางการลงทุนที่มั่นคงสำหรับนักลงทุนในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูง

บทสัมภาษณ์นี้มีตัวแทนจากสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Goldman Sachs, Citigroup และ JPMorgan เข้าร่วมด้วย โดยได้ร่วมกันวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงการจัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลก รวมถึงบทบาทที่เปลี่ยนไปของทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์

ในช่วงต้นปี 2025 ราคาทองคำสร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจด้วยการเพิ่มขึ้นกว่า 25% ตั้งแต่ต้นปี โดยพุ่งทะลุระดับ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในบางช่วงเวลา ซึ่งทำผลงานได้ดีกว่าทั้งตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยและราคาน้ำมันดิบกลับปรับตัวลดลง

ความเคลื่อนไหวของทองคำในช่วงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศความเสี่ยงที่ยังคงแฝงอยู่ในจิตวิทยาของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม จากการรายงานของสถานี CCTV ราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงมากกว่า 5% ในเดือนพฤษภาคม หลังจากสัญญาณความตึงเครียดทางการค้าเริ่มผ่อนคลาย ประกอบกับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในเดือนเมษายนลดลงเหลือ 2.3% ทำให้นักลงทุนปรับมุมมองต่อความกังวลด้านเงินเฟ้อ และความน่าสนใจของทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อก็ลดลงตามไปด้วย

"นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังกับการกู้ยืมและการเปิดรับความเสี่ยงของพอร์ต" บาร์เร็ตต์กล่าว "เก็บกระสุนไว้ให้พร้อม เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของข่าวสารได้ทันที และใช้โอกาสเมื่อมันมาถึง"  บาร์เร็ตต์ กล่าว

บาร์เร็ตต์ยังได้แสดงความกังวลเชิงโครงสร้างที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดหนี้ภาครัฐ การที่ Moody's ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ จาก Aaa เป็น Aa1 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2025 ทำให้สหรัฐฯ สูญเสียอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดที่เหลืออยู่

ในขณะเดียวกัน ความต้องการซื้อตราสารหนี้ระยะยาวของสหรัฐฯ และญี่ปุ่นที่ประมูลในรอบ 20 ปีก็ยังคงอ่อนแอ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนระยะยาวพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี และสร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง

"นี่ไม่ใช่เรื่องของการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง แต่เป็นเรื่องของการวางตำแหน่งลงทุนอย่างชาญฉลาด" บาร์เร็ตต์กล่าวเสริม "ทองคำไม่ใช่แค่สินทรัพย์ปลอดภัย แต่ยังเป็นเครื่องชี้วัดความไม่แน่นอนของตลาดอีกด้วย"

ขณะที่สถาบันการเงินชั้นนำต่างมีมุมมองที่หลากหลายต่อแนวโน้มราคาทองคำ Goldman Sachs คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ภายในสิ้นปีนี้ ส่วน JPMorgan คาดหวังว่าจะไปถึง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2026 อย่างไรก็ตาม Citigroup ได้ออกมาเตือนว่าความต้องการทองคำในกลุ่มนักลงทุนรายย่อยที่อ่อนแอ อาจกดดันราคาทองคำต่อเนื่องไปจนถึงหลังปี 2026

บาร์เร็ตต์ย้ำว่า แม้ความเชื่อมั่นในกลุ่มสถาบันจะยังคงแข็งแกร่ง แต่นักลงทุนควรจับโอกาสด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวงจรนโยบายการเงินทั่วโลกเริ่มแยกทิศทางและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ยังคงมีความเปราะบาง