ปลุกพลัง 'ผู้นำชุมชน' ทั่วประเทศ! จัดใหญ่ 'อบรมรับมือภัยพิบัติ' อย่างมืออาชีพ

พอช. ระดมผู้นำชุมชนทั่วไทยกว่า 200 คน พัฒนาศักยภาพพร้อมรับมือภัยพิบัติอย่างมืออาชีพ ย้ำเป้าหมาย 'ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง' เพื่อชุมชนที่เข้มแข็งและยั่งยืน

สุพรรณบุรี, 30 มิถุนายน 2568สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. จัด สัมมนาเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพผู้นำขบวนองค์กรชุมชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติ (ภาคประชาชน)” ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2568 ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายวราวุธ ศิลปะอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นประธานพิธี พร้อมด้วย นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง พม. นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวง พม.  นายกฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการ พอช. พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ผู้นำขบวนองค์กรชุมชนจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ ผู้แทนขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดสุพรรณบุรี พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด 76 จังหวัด และหน่วยงานภาคีอาสาสานพลังพื้นที่เข้มแข็ง จำนวนกว่า 200 คน  เข้าร่วม ณ โรงแรมสองพันบุรี อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้นำขบวนองค์กรชุมชน รวมถึงภาคีเครือข่ายจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ ได้มีความเข้าใจถึงสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก และสามารถออกแบบแผนงานในการเตรียมตัวเพื่อรองรับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ ด้วยการบูรณาการการทำงานร่วมกับภาครัฐ และภาคีเครือข่ายการพัฒนา เพื่อช่วยเหลือดูแลพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง นางสาววิภาศศิ ช้างทอง ประธานสภาองค์กรชุมชนตำบลในระดับชาติ กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงาน , นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวต้อนรับ ด้วยเป้าหมายสำคัญคือ การเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และขีดความสามารถของผู้นำชุมชนในการเผชิญหน้าและจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ของตนเองอย่างยั่งยืน

นายวราวุธ กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ที่นับวันจะส่งผลทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจากรายงานของสำนักงานลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งสหประชาชาติ (UNDRR) ระบุว่า ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงปานกลางถึงสูงเป็นอันดับที่ 75 จาก 191 ประเทศ ตามดัชนีชี้วัดความเสี่ยงของ INFORM Risk Index ปี 2022 โดยอุทกภัยถือเป็นภัยพิบัติที่สร้างความเสี่ยงสูงที่สุดของไทย (อันดับ 9 ของโลก) และปัญหาภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ รวมถึงผู้ด้อยโอกาส ผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ช่วยเหลือตนเองอย่างยากลำบาก เช่น ผู้ป่วยติดเตียง เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต้องมีการวางแผนการช่วยเหลือดูแลอย่างเร่งด่วนจากทุกภาคส่วน

นายวราวุธ  กล่าวต่อ กระทรวง พม. ได้ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการปรับตัวของกลุ่มเปราะบางต่อผลกระทบต่างๆ จากภัยพิบัติที่เกิดขึ้น และเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 68 ที่ผ่านมา กระทรวง พม. ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ 7 กระทรวง ด้วยความร่วมมือในการบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งกระทรวง พม. รับผิดชอบด้านความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับแผนปฏิบัติการระดับชาติ โดยมีการพัฒนาข้อเสนอทางนโยบายการคุ้มครองทางสังคมที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Reponsive : CRSP) และมีการจัดทำแผนภัยพิบัติ 5 ด้าน อีกทั้งมีการจัดตั้งกลไกในการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ “ศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ” (ศบปภ.) หรือ DCCV เพื่อเป็นกลไกในการทำงานเชิงรุกสำหรับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ โดยเตรียมความพร้อมในด้านการป้องกันภัย การปรับตัว และการให้ความช่วยเหลือเยียวยา

พื้นที่ชุมชนถือเป็นด่านหน้าที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ ชุมชนจึงเป็นหน่วยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการปรับตัวสำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ โดยขบวนการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ของ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. คือ ขบวนองค์กรชุมชน เป็นกลไกที่เชื่อมโยงระหว่างชุมชน หน่วยงาน และภาคีเครือข่ายในการทำงานแก้ไขปัญหาและจัดทำแผนปฏิบัติการในระดับพื้นที่ร่วมกัน อีกทั้งยังเป็นหน่วยจัดการที่อยู่ในระดับพื้นที่ ที่มีข้อมูลชุมชน มีความเข้าใจในบริบทพื้นที่ และมีความคล่องตัวในการป้องกันและช่วยเหลืออย่างทันท่วงที การพัฒนาศักยภาพขบวนองค์กรชุมชนและผู้นำขบวนองค์กรชุมชน จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ และเป็นหน่วยเชื่อมโยง ประสานการทำงานในระดับพื้นที่กับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นายวราวุธ กล่าวในตอนท้าย

นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า การสัมมนาจะช่วยเสริมทักษะความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์สภาพภูมิอากาศโลกแก่ผู้นำชุมชน เป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์การป้องกันแก้ไขปัญหาภัยพิบัติที่ผ่านมา รวมถึงส่งเสริมการประสานงานร่วมกับหน่วยงานราชการและภาคีเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ "การสัมมนาในครั้งนี้จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถออกแบบแผนงานเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ และกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อรับมือและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม"

นายกฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการ พอช. กล่าวถึงการดำเนินงานที่ผ่านมาของ พอช. ในการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนเพื่อรับมือภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง อาทิ จัดเวทีอบรมผู้นำ: จัดอบรมผู้นำ 300 คน ครอบคลุม 77 จังหวัด เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และออกแบบแผนรับมือภัยพิบัติระดับพื้นที่ สร้างความรู้ครอบคลุม: ทั้ง Climate Change, ประสบการณ์ตรงของชุมชน, และการจัดการกลุ่มเปราะบาง ผ่านกระบวนการกลุ่มเรียนรู้ เวิร์กช็อป และสานเสวนา ลักดันกลไก ศบปภ.: ให้มีบทบาทร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ บูรณาการฐานข้อมูล

ใช้เป็นเครื่องมือวางแผนรับมือภัยพิบัติและเชื่อมโยงหน่วยงานภาคี สนับสนุนแผนปฏิบัติการ: ระดับตำบลและจังหวัด โดยใช้ต้นทุนความรู้ในชุมชนเป็นแกนกลาง

นายกฤษดา  กล่าวว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการ 5 ปีของ พอช. (พ.ศ. 2566-2570) ที่เน้น "การพัฒนาโดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง" และมุ่งสู่เป้าหมาย "ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็งเต็มพื้นที่ประเทศไทยภายในปี 2579" นอกจากนี้ พอช. ยังเน้นการทำงานร่วมกับกระทรวง พม. ภายใต้ MOU 7 กระทรวง ที่มุ่งขับเคลื่อนนโยบาย Climate Responsive Social Protection (CRSP) เพื่อปกป้องกลุ่มเปราะบางและขยายผลสู่ระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

"ที่สุดของการรับมือภัยพิบัติ คือชุมชนต้องมีความรู้ รู้ทัน และพร้อมลงมือร่วมกัน" นายกฤษดาเน้นย้ำ ซึ่งสะท้อนเป้าหมายของโครงการที่ไม่เพียงสร้างภูมิคุ้มกันให้ชุมชน แต่ยังเสริมสร้างกลไกเชิงระบบที่พร้อมเชื่อมโยงทุกภาคส่วน เพื่อให้ "ชุมชนอยู่รอด ปลอดภัย และยั่งยืน" ในทุกสถานการณ์

การจัดสัมมนาในครั้งนี้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการ 5 ปี ของ พอช. (พ.ศ. 2566-2570) โดยเน้น “การพัฒนาโดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง” และมุ่งสู่เป้าหมาย “ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็งเต็มพื้นที่ประเทศไทยภายในปี 2579” พอช. ยังเน้นการทำงานร่วมกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ภายใต้ MOU 7 กระทรวง ที่มุ่งขับเคลื่อนนโยบาย Climate Responsive Social Protection (CRSP) เพื่อปกป้องกลุ่มเปราะบาง และขยายผลสู่ระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม “ที่สุดของการรับมือภัยพิบัติ คือชุมชนต้องมีความรู้ รู้ทัน และพร้อมลงมือร่วมกัน”

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัยกรุงเทพมหานคร จัดเวทีดำเนินโครงการบ้านมั่นคงพลัส ระดมความคิด เดินหน้าแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย วางแผนขับเคลื่อนสู่อนาคต

นายจิตรกร พยัฆโส รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย จัดเวทีโครงการบ้านมั่นคงพลัส แบ่งกลุ่มย่อยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ร่วมกับสำนักงานเขต ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงาน

“ธรรมนัส-อัครา” มอบบ้านมั่นคง พร้อมประกาศชัด ดัน “สหกรณ์บ้านมั่นคง” ยกระดับสู่ “สหกรณ์ประเภทที่ 8”

รองนายกฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า และ รมว.พม. อัครา พรหมเผ่า ผนึกกำลัง 2 กระทรวง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเป็นประธานงานสัมมนาเครือข่ายสหกรณ์บ้านมั่นคง

คนจนทั่วประเทศกว่า 5 พันคน รวมพลังยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล “ที่อยู่อาศัย คือสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน” ไว้ในรัฐธรรมนูญ เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2568

ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’

จากความไม่มั่นคงสู่ชุมชนต้นแบบ....บ้านมั่นคงเจริญชัยนิมิตใหม่

เรื่องราวของ ชุมชนเจริญชัยนิมิตใหม่ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เป็นบทพิสูจน์ที่ว่า การรวมพลังและหัวใจของ "คนในชุมชน" พวกเขาพลิกจากอดีตชุมชนแออัดริมทางรถไฟที่มีอายุเก่าแก่กว่า 50 ปี

ชุมชนสวนพลู จากสลัม สู่บ้านมั่นคงโมเดล ใจกลางกรุงเทพฯ

ในอดีต ชุมชนสวนพลูเป็นพื้นที่แออัดใจกลางเมืองที่ประสบปัญหามากมาย ทั้งการอยู่อาศัยอย่างไม่มั่นคงบนที่ดินกรมธนารักษ์, ปัญหาอาชญากรรม, และเศรษฐกิจที่เปราะบาง

หินเหล็กไฟ “ชุมชนผู้ไม่ยอมแพ้"

คำกล่าวที่ว่า "ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้" ดูจะตรงกับเรื่องราวของ "ชุมชนหินเหล็กไฟ" มากที่สุด ที่ซึ่งอดีตผู้บุกรุกที่ดินรถไฟริมทางรถไฟหัวหิน