
เปิด “มหกรรมวิถีพลังไท 3 : พลังองค์กรชุมชน เปลี่ยนประเทศไทย”
พอช.เปิดเวที “วิถีพลังไท 3” ยกระดับพลังชุมชน รวมผู้นำชุมชนแถวหน้าจากทั่วประเทศ โชว์ผลงานชุมชน ฟังมุมมองนักคิด นักปฏิบัติ ฟันธงทางรอดประเทศไทย ชำแหละวิกฤติทุกมิติ เรียนรู้ “Ted Talk” รูปธรรมความสำเร็จ แก้ปัญหาที่อยู่อาศัย-สวัสดิการ ร่วมสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง “พลังชุมชนเปลี่ยนประเทศไทย”

ผู้เข้าร่วมจากองค์กรภาคีเครือข่ายหลายภาคส่วน มหกรรมวิถีพลังไท 3 ฯ
กรุงเทพมหานคร – วันนี้ (30 กรกฎาคม 2568) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. สร้างปรากฏการณ์รวมพลังครั้งประวัติศาสตร์ เปิดฉาก “มหกรรมวิถีพลังไท 3 : พลังองค์กรชุมชน เปลี่ยนประเทศไทย” อย่างยิ่งใหญ่ เป้าหมายขับเคลื่อน "พลังเล็กเปลี่ยนชาติ" ให้เป็นรูปธรรม ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ

มหกรรมวิถีพลังไท 3 ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ
ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ประเทศไทย 2580 : เมื่อประเทศไทยเปลี่ยน ชุมชนต้องปรับ”

นายสมพร ใช้บางยาง อดีตประธานกรรมการ พอช. ได้กล่าวว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งระบบทุนนิยม อุตสาหกรรม และภัยพิบัติ ชุมชนต้องเร่งปรับตัว เน้นย้ำความสำคัญของ "พลังชุมชน" การดูแลซึ่งกันและกัน และการประยุกต์ใช้ "ศาสตร์พระราชา" โดยเฉพาะหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเครื่องมือสร้างความเข้มแข็งและนำพาชุมชนสู่ความยั่งยืน
เสวนาประเทศไทยท่ามกลางวิกฤติการเปลี่ยนแปลง ชุมชนต้องแกนหลัก

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวถึง ภาพรวมปัญหาการเมืองและผลกระทบต่อการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนอย่างตรงไปตรงมา โดยยอมรับว่า การเมืองเกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคน และเป็นหน้าที่พื้นฐานที่ต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะแกนนำชุมชน ซึ่งเป็นบุคลากรสำคัญที่ต่อสู้เพื่อชุมชนและประเทศชาติ
สิ่งแรกคิดว่าเรากลัดกระดุมผิดเม็ด ประชาธิปไตยที่เรายอมรับกลัดกระดุมผิดตั้งแต่แรก การเลือกตั้งเป็นการคัดกรองคนเข้าบริหารประเทศ เป็นประชาธิปไตยอำพราง เป็นประชาธิปไตยที่ใช้เงินเพื่อการเลือกตั้ง จัดตั้งมากขึ้น หลายปีหลังใช้เป็นรายหัว ต่อหัว การเมืองในทุกวันนี้ ต่อสู้กันกับเม็ดเงินที่ยิงต่อหัว มีการคำนวณรายหัว ซึ่งทำให้ยากที่จะหาคนที่มีความตั้งใจพัฒนาเข้าสู่ระบบการเมือง และน่ากลัวที่บางคนอาจกลายเป็นหัวคะแนนโดยไม่ตั้งใจ ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ไทยขาดเสถียรภาพทางการเมือง เกิดการแบ่งปันผลประโยชน์ของ ส.ส. ชี้ชัดว่า "เรากลัดกระดุมผิดเม็ดมาตั้งแต่แรก"
การพัฒนาชุมชนมี 2 มิติ คือ การสร้างความเข้มแข็งของคน และการผลักดันคนที่มีความเข้มแข็งเข้าไปมีอำนาจ โดยเฉพาะการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ต้องผลักดันกลไกให้เกิดการคัดสรรคนที่มีคุณสมบัติ มีความตั้งใจช่วยบ้านเมือง ให้เข้าไปมีบทบาท เชื่อว่าพลังชุมชน สามารถเปลี่ยนประเทศไทยได้ นายสนธิรัตน์ ได้กล่าวตอนท้าย

รองศาสตราจารย์ ดร. เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวเน้นย้ำ เมื่อได้รับข่าวสารชุมชนต้องตระหนักและส่งสัญญาณต่อได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้คนในพื้นที่รับทราบสถานการณ์ได้ดีที่สุด และในอนาคต ท้องถิ่นจะต้องสามารถส่งสัญญาณได้ด้วยตนเอง หากไทยไม่มองโลกและไม่สนใจการเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิจะสูงขึ้นอีก 4 องศาเซลเซียส ซึ่งจะส่งผลให้ลูกหลานไม่สามารถต่อสู้กับสภาพอากาศสุดขั้วนี้ได้เลย จะเจอทั้งคลื่นความร้อน ฝนตกหนักในเวลาจำกัด ภัยแล้ง และน้ำท่วมจากสาเหตุต่างๆ "Climate Change มีดีอย่างเดียวคือ เราจะไม่มีฤดูหนาว!" เขาประชดประชันถึงผลกระทบรุนแรงที่จะเกิดขึ้น หากอากาศอ่อนไหวในแบบนี้ ภาคการเกษตรจะเสียหายมากที่สุด
ดังนั้น "ในฐานะชุมชน ทุกองค์กร ต้องมุ่งสู่ Climate Resilience" ชุมชนต้องมีการประเมินตนเองว่าได้รับผลกระทบอยู่ในขั้นตอนใด เสี่ยงประเภทไหน วิเคราะห์ความเสี่ยงเพื่อดำเนินการแก้ไข และที่สำคัญคือต้องมีองค์ประกอบครบ ทั้งข้อมูลรอบด้าน แผนการแก้ไข มีงบประมาณ และได้รับอนุญาตให้ดำเนินการ
"ชุมชนเข้มแข็งคือคำตอบ!" ดร.เสรี กล่าวทิ้งท้าย

ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัญหาข้างต้นจะลดลงถ้าลดปัญหาคอร์รัปชั่นได้ ประเทศไทยกลายเป็นสังคมโกง ขาดมาตรการแก้ไขปัญหาในระยะยาว ผู้นำ รัฐบาลไม่ได้วางแผนในการแก้ไขระยะยาวเลย ไม่มีการร่วมมือกันแก้ไข ปัญหา คอร์รัปชั่น เป็นวิกฤตของประเทศไทย พวกเราต้องร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเราเอง ปัญหาคอร์รัปชั่น เพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่น วงข้าราชการ สิ่งที่เราพบ พบว่ามีการซื้อขายตำแหน่ง เล่นพรรคพวก ภาคเอกชน ธุรกิจเข้ามาโกง สร้างอำนาจ โกงกันต่อหน้า การลด ชะลอ คอร์รัปชั่น ทำได้อย่างไร เราต้องไม่ยอมรับ ประชาชนต้องรวมกลุ่มกันมากขึ้น เราต้องไม่ยอมรับ ต่อต้านมากขึ้น ปัญหาที่เกิดเพราะเรารับใช้นายทุน เราต้องไม่ยอม คุยกันมากขึ้น พลังประชาชนจะเกิดขึ้นได้จริงจัง ต้องร่วมมือกัน

นางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้กล่าวถึงปัญหาปากท้อง ที่ดิน และสิทธิชาติพันธุ์ ชี้ชุมชนต้องรวมตัวกันเป็นเครือข่าย ใช้เครื่องมือที่มีอยู่แก้ไขปัญหาออกโรงเปิดเผยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยที่น่าตกใจ! ชี้มีเรื่องร้องเรียนทะลุกว่า 1,000 เรื่องต่อปี ย้ำสิทธิมนุษยชนคือสิทธิตามธรรมชาติที่ไม่อาจโอนให้ใครได้ พร้อมส่งสัญญาณให้ "ชุมชน" ต้องลุกขึ้นรวมตัวเป็นเครือข่าย เพื่อแก้ไขปัญหาสิทธิที่รุกล้ำถึงชีวิตและทรัพย์สิน
นางปรีดา ย้ำว่า "ความเข้มแข็งของชุมชน" คือกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหา! ชุมชนต้องรวมตัวเป็น "เครือข่าย" ในการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล ในการคุ้มครองชีวิตและรับสัญชาติ หรือกลุ่มพีมูฟ ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่า การรวมตัวกันทำให้ปัญหาได้รับการแก้ไข ชุมชนไม่สามารถแก้ปัญหาในพื้นที่ตนเองได้ลำพัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำงานร่วมกัน และที่สำคัญที่สุด คือ ชุมชนต้องเชื่อมโยงปัญหาตนเองกับปัญหาเชิงโครงสร้างได้ และสรุปบทเรียนเพื่อเป้าหมายสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

ดร.จรรยา กลัดล้อม ผู้แทนขบวนองค์กรชุมชน กล่าวว่า ศักยภาพของชุมชนในการกำหนดทิศทางของตนเอง ชุมชนต้องมี "ศักดิ์ศรี" ที่เกิดจากการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการ และการนำข้อมูลมาใช้แก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านที่อยู่อาศัย หรือการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ การสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากชุมชนเข้มแข็ง ประเทศชาติก็จะมีความเข้มแข็งด้วย ประเทศชาติก็จะมีความมั่นคงด้วย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละชุมชน แต่หัวใจสำคัญคือ "ชุมชนคิด ชุมชนทำ ร่วมกับภาครัฐและเอกชน" ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนรับมือวิกฤต การสร้างพื้นที่กลางสำหรับทุกคน และการพัฒนาระบบสวัสดิการให้แก่คนในชุมชน
ดร.จรรยา กล่าวถึง บทบาทของชุมชนในการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการจัดการตนเองให้เข้มแข็ง "การรวมกลุ่ม" เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งเพื่อการต่อรอง และเพื่อกระจายอำนาจ ชุมชนยังต้องสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน พัฒนาทักษะของคนในชุมชน รวมถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยมีการอนุรักษ์ที่นำโดยชุมชนเอง "ชุมชนมีการลุกขึ้นเป็นเจ้าของปัญหา" โดยเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยจะเปลี่ยนได้ต้องสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง เชื่อว่าชุมชนจะเข้มแข็งได้เต็มพื้นที่ภายในปี 2579

'Ted Talk' โชว์ Best Practice
'Ted Talk' โชว์ Best Practice 'มีสิทธิ์ อยู่ดี มีสุข' ของคนทั่วประเทศ
สิบเอกณัฐกร ดอนแก้วภู่ นำเสนอ "สวัสดิการชุมชน: จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน" ระบบการดูแลสมาชิกที่เข้มแข็งจากพลังชุมชน
นางวิลัยวรรณ คำภีรธรรม โชว์โมเดล "บ้านเพื่อคนทุกคน" การสร้างที่อยู่อาศัยที่พอดี พออยู่ พอกิน ด้วยมือชุมชน
นายไสว ชูโชติ เผย "เศรษฐกิจชุมชน" การสร้างอาชีพที่มั่นคงและรายได้ยั่งยืนจากฐานรากตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
นางสาวลัดดาวัลย์ สุทธิธรรม สาธิต "การจัดการภัยพิบัติ" ที่ชุมชนสามารถจัดการตนเองได้ตั้งแต่ต้นทาง
นางนิตยา เอียการนา จาก IMPACT ขับเคลื่อน "ชาติพันธุ์ไทยในความเหลื่อมล้ำ" สู่การกำหนดอนาคตตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี
นายชาติชาย ธรรมโม แสดงให้เห็น "พลังคนรุ่นใหม่เปลี่ยนประเทศไทย" กับโครงการคนรุ่นใหม่คืนถิ่น
ดร.พา ผอมขำ จาก สภาองค์กรชุมชน ชี้ "สภาองค์กรชุมชนสร้างพลังพลเมือง" การขับเคลื่อนประชาธิปไตยจากฐานรากกว่า 93 ปี
มหกรรมวิถีพลังไท 3 “พลังองค์กรชุมชน เปลี่ยนประเทศไทย สำหรับประชาชนและผู้สนใจที่ต้องการเรียนรู้ แลกเปลี่ยน และเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย สามารถร่วมงานได้ต่อเนื่อง ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัยกรุงเทพมหานคร จัดเวทีดำเนินโครงการบ้านมั่นคงพลัส ระดมความคิด เดินหน้าแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย วางแผนขับเคลื่อนสู่อนาคต
นายจิตรกร พยัฆโส รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย จัดเวทีโครงการบ้านมั่นคงพลัส แบ่งกลุ่มย่อยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ร่วมกับสำนักงานเขต ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงาน
“ธรรมนัส-อัครา” มอบบ้านมั่นคง พร้อมประกาศชัด ดัน “สหกรณ์บ้านมั่นคง” ยกระดับสู่ “สหกรณ์ประเภทที่ 8”
รองนายกฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า และ รมว.พม. อัครา พรหมเผ่า ผนึกกำลัง 2 กระทรวง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเป็นประธานงานสัมมนาเครือข่ายสหกรณ์บ้านมั่นคง
คนจนทั่วประเทศกว่า 5 พันคน รวมพลังยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล “ที่อยู่อาศัย คือสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน” ไว้ในรัฐธรรมนูญ เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2568
ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’
จากความไม่มั่นคงสู่ชุมชนต้นแบบ....บ้านมั่นคงเจริญชัยนิมิตใหม่
เรื่องราวของ ชุมชนเจริญชัยนิมิตใหม่ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เป็นบทพิสูจน์ที่ว่า การรวมพลังและหัวใจของ "คนในชุมชน" พวกเขาพลิกจากอดีตชุมชนแออัดริมทางรถไฟที่มีอายุเก่าแก่กว่า 50 ปี
ชุมชนสวนพลู จากสลัม สู่บ้านมั่นคงโมเดล ใจกลางกรุงเทพฯ
ในอดีต ชุมชนสวนพลูเป็นพื้นที่แออัดใจกลางเมืองที่ประสบปัญหามากมาย ทั้งการอยู่อาศัยอย่างไม่มั่นคงบนที่ดินกรมธนารักษ์, ปัญหาอาชญากรรม, และเศรษฐกิจที่เปราะบาง
หินเหล็กไฟ “ชุมชนผู้ไม่ยอมแพ้"
คำกล่าวที่ว่า "ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้" ดูจะตรงกับเรื่องราวของ "ชุมชนหินเหล็กไฟ" มากที่สุด ที่ซึ่งอดีตผู้บุกรุกที่ดินรถไฟริมทางรถไฟหัวหิน

