
“มหกรรมวิถีพลังไท 3: พลังองค์กรชุมชน เปลี่ยนประเทศไทย”
ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ – 31 กรกฎาคม 2568 มหกรรมวิถีพลังไท 3: พลังองค์กรชุมชน เปลี่ยนประเทศไทย" (Community Power : Transforming Thailand) จัดโดย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2568 โดยมี นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พร้อมด้วย นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัด พม. ให้เกียรติร่วมงานและมอบนโยบาย ย้ำชัดถึงการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยจากฐานราก ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารบี) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ

นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
กล่าวว่า รัฐบาล โดยกระทรวง พม. มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน และเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบอบประชาธิปไตย โดยมี "ชุมชนท้องถิ่นคือหัวใจสำคัญ" ที่จะทำให้เป้าหมายเหล่านี้เป็นจริงได้ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรม
"จากการที่ผู้แทนขบวนองค์กรชุมชนได้นำเสนอภาพรวมการจัดงานและยุทธศาสตร์การพัฒนาที่องค์กรชุมชนมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการเปลี่ยนประเทศไทย ทำให้เห็นมิติของการพัฒนาชุมชนที่มีความเข้มแข็งมาอย่างต่อเนื่อง เห็นความหวังของการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต" นายธเนศพล กล่าวชื่นชม

ผู้เข้าร่วมงานฯจากทั่วประเทศ
นายธเนศพล ยังได้ย้ำถึงนโยบายหลักของ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ให้ความสำคัญกับการสร้าง "สังคมที่เข้มแข็ง ยั่งยืน และเป็นธรรม" โดยมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ซึ่งนโยบายเหล่านี้ครอบคลุมหลายมิติ ผ่านการแก้ปัญหาวิกฤตประชากร โดยชุมชนจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาร่วมกันในทุกมิติ
นายธเนศพล กล่าวยืนยันว่า ในนามกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พม. จะยังคงเดินหน้าประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้ทุกนโยบายที่วางไว้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง เพราะเป้าหมายสูงสุดคือการสร้าง "สังคมที่คนไทยทุกคน มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับการคุ้มครองและมีหลักประกันทางสังคมอย่างทั่วถึง มีส่วนร่วมในการพัฒนา และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข" ตลอดไป

นายกฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ชี้ชัดถึง "หมุดหมาย" สำคัญของ พอช. ตลอด 25 ปี ที่ผ่านมา ในการสนับสนุนองค์กรชุมชนให้เป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยจากฐานราก ย้ำภารกิจต้องทาสีให้เด่นชัด ตอกย้ำให้ทุกภาคส่วนเห็น และไม่ยอมให้ใครมาถอน “หมุดหมาย” อันเป็นหัวใจของพี่น้องประชาชนได้ ย้อนรอยประวัติศาสตร์ถึง "หมุดหมายที่ 1" ซึ่งถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2543 ภายใต้การนำของ อ.ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และเครือข่ายภาคประชาสังคม โดยปักธงให้ พอช. ทำหน้าที่ส่งเสริมความเข้มแข็งขององค์กรชุมชน ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ที่ก่อให้เกิดพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง พอช. ขึ้นมา "ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา พอช. ได้สนับสนุนองค์กรชุมชนในด้านคุณภาพชีวิต ที่อยู่อาศัย การพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ และสวัสดิการชุมชน ทำให้ทุกภาคส่วนของไทยแข็งแรง" นายกฤษดา กล่าว พร้อมเผยเหตุผลการก่อตั้ง พอช. ที่สำคัญยิ่ง คือ เพื่อลดช่องว่างและความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่ห่างกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างเมืองและชนบท

ร้านค้าชุมชนในพื้นที่รูปธรรมจาก 5 ภูมิภาค
นายกฤษดา ได้กล่าวถึง "หมุดหมายที่ 2" อันเป็นหัวใจสำคัญยิ่ง นั่นคือ การประกาศใช้ พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. 2551 เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2551 โดยมี อ.ไพบูลย์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี พม. และคุณหมอพลเดช ปิ่นประทีป เป็นรัฐมนตรีช่วยฯ ร่วมกันผลักดัน “พรบ.ฉบับนี้ เปิดพื้นที่ให้องค์กรชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประชาธิปไตยฐานราก เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่การพัฒนาประเทศในอดีตทำให้ชุมชนอ่อนแอ การกระจายรายได้ไม่เป็นธรรม” ย้ำ! ชี้ว่า สภาองค์กรชุมชนเป็นพื้นที่กลางเชื่อมโยงการพัฒนากับหน่วยงานภาครัฐในทุกระดับ ตั้งแต่จังหวัด อำเภอ อบต. เทศบาล จนถึงกรุงเทพฯ และเมืองพัทยา ทำให้พี่น้องสามารถสะท้อนปัญหา เกิดการแก้ไข พัฒนา และทำข้อเสนอเชิงนโยบายต่อคณะรัฐมนตรีได้ทุกปี
นายกฤษดา เผยถึงเป้าหมายสูงสุดของ พอช. คือ "ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็งเต็มพื้นที่ประเทศไทย" แม้จะเป็นระยะทางยาวไกล แต่จะไม่ย่อท้อ! โดยการขับเคลื่อนของ พอช. ตลอด 4 รุ่นที่ผ่านมา จนถึงรุ่นที่ 5 ที่เขาดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน คือการ "ทาสี" สองหมุดหมายนี้ให้ชัดเจน ให้ทุกภาคส่วนมองเห็น และเป็น "รั้ว" ป้องกันไม่ให้ใครมาเปลี่ยนแปลงหรือถอนหมุดหมายแห่งประชาชนนี้ได้
ภายใต้เป้าหมายปี 2579 ที่จะเห็นชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็งเต็มพื้นที่ประเทศไทยนั้น กลไกสำคัญคือ "ผู้นำและภาคประชาสังคม" โดยเฉพาะ "คลื่นลูกใหญ่" ของผู้นำรุ่นเก๋าที่มีมากกว่า 90% ที่กำลังพัดเข้าสู่ชายฝั่ง สร้างการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเป็นกำลังสำคัญผ่านการทุ่มเทของผู้นำรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ล่วงลับไปแล้ว "สิ่งที่ต่อไปคือ การสร้างคลื่นลูกใหม่ รุ่นเด็ก เยาวชน เข้ามาเชื่อม อุดมการณ์ในการทำงานกับคลื่นลูกใหญ่ที่พัดเข้าสู่ฝั่ง" นายกฤษดา กล่าว ชี้การพัฒนาต้องใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง "ตำบลเป็นฐาน" ทำให้ฐานรากแข็งแรง โดยการเชื่อมโยงสวัสดิการชุมชนและสภาองค์กรชุมชนเข้ากับหน่วยงานต่างๆ นายกฤษดา กล่าว

ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ คณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ชี้ชัด "พลังองค์กรชุมชน" คือต้นทุนสำคัญของประเทศไทยที่หลายคนมองข้าม! พร้อมฟันธง ระบบราชการรวมศูนย์ไปไม่รอด ต้องสร้าง "ประชาธิปไตยกินได้" จากฐานรากคู่ขนานกับภาคการเมือง เตือนหากไม่สนใจฐานราก สังคมไทยจะไม่มีวันเข้มแข็งอย่างแท้จริง
ศ.ดร.บรรเจิด ตั้งคำถามเชิงท้าทายว่า "พลังองค์กรชุมชนจะเปลี่ยนประเทศไทยได้หรือไม่?" ก่อนเฉลยคำตอบด้วยสถานการณ์จริงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 หรือวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่า "ใครซับความเดือดร้อนของพี่น้อง ถ้าไม่ใช่ชุมชนเรามีความเข้มแข็ง มั่นคงทางอาหาร นี่คือต้นทุนสำคัญของชุมชนท้องถิ่นไทย เป็นต้นทุนที่หลายคนมองไม่เห็นหรือมองข้ามไป" การสร้างชุมชนเข้มแข็งคือการสร้างฐานรากของประชาธิปไตย แต่กลับมีอุปสรรคไม่น้อย เพราะ "ไม่สามารถมีองค์กรใดองค์กรหนึ่งเอาชนะวิกฤตได้ ถ้าไม่รวมกัน"
ศ.ดร.บรรเจิด กล่าวว่า การสร้างประชาธิปไตยจากฐานราก คือการออกแบบโครงสร้างสถาบันการเมือง ที่หากฐานไม่แข็งแรงมั่นคง ภาพรวมก็ไม่อาจเข้มแข็งได้ แม้จะเปลี่ยนแปลงการปกครองมาตั้งแต่ 2475 สิ่งสำคัญคือต้องสร้างฐานรากให้เป็น "หมุดหมายสำคัญ" และชัดเจนว่า "ลำพังภาครัฐดำเนินไปไม่ได้ ต้องมีภาคประชาสังคมถ่วงดุล เราต้องสร้างมาเพื่อคู่ขนาน" แนวคิด "ประชาธิปไตยกินได้" คือการกำหนดตนเอง การจัดการตนเอง ที่เกิดจากวิถีชีวิต เป็นประชาธิปไตยที่สามารถกำหนดแนวพื้นฐานในการดำเนินชีวิตของคนในชุมชนได้โดยตรง "ทั่วโลกยอมรับไปแล้วว่า ประชาธิปไตยโดยผู้แทน นำไปสู่การเสื่อม เพราะทำเพื่อพวกพ้อง!" จึงต้องใช้ "ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ" ในชุมชนท้องถิ่น เดินคู่ขนานไปกับผู้แทนในภาคการเมือง ปมปัญหา 3 ประการที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างชุมชนเข้มแข็ง และเป็นเหตุผลว่าทำไมการเปลี่ยนแปลงการปกครองมากว่าร้อยปี แต่ฐานรากสังคมยังไม่แข็งแรง สำนึกแบบพลเมืองไม่เกิด: การเปลี่ยนแปลงปลายยอด ไม่เกิดการเรียนรู้พื้นฐาน ไม่เกิดสำนึกพลเมือง การเปลี่ยนแปลงชนชั้นนำ: การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องของชนชั้นนำ ไม่ได้วางฐานที่ชุมชน หมู่บ้านท้องถิ่น ระบบรัฐราชการรวมศูนย์ไปไม่รอด: "ยิ่งรวมศูนย์ยิ่งตาย ตายอยู่ในคอก!" ต้องปรับระบบ และมีภาคีร่วมมือ
แม้จะมีสภาองค์กรชุมชนกว่า 7,000 แห่งที่จัดตั้งตามกฎหมาย แต่กลับยังไม่มีพลังเพียงพอที่จะเป็น "สถาบันของชุมชน" เป็นเพียง "ประชาธิปไตยเทียม" ที่ผ่านผู้แทน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่จากการนำทางการเมืองที่ขาดความเชื่อมโยงกับฐานราก และนักวิชาการไทยจำนวนมากยังมองไม่เห็นคุณค่าของพลังสังคมท้องถิ่น

นิทรรศการนำเสนอประเด็นงานและผลงานสำคัญของพอช.
ศ.ดร.บรรเจิด ย้ำว่า ชุมชนมีศักยภาพในการนำพาสังคมฝ่าวิกฤตไปได้ ต้องมี "ภาคีภิบาลท้องถิ่น" (Local Governance Partnership) ที่ อปท. องค์กรชุมชน และองค์กรพัฒนาเอกชน ต้องร่วมมือกันด้วยความโปร่งใสและสำนึกรับผิดชอบ เพื่อการบริหารจัดการท้องถิ่นร่วมกัน เขาเสนอ 7 มาตรการเชิงนโยบายเร่งด่วน: กระจายอำนาจจริงจัง: จาก อปท. สู่การบริหารจัดการท้องถิ่นโดยภาคีภิบาล เพื่อร่วมกันต่อสู้จนชนะปัญหา ออกกฎหมายส่งเสริมภาคประชาสังคม: เพื่อหนุนเสริมความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมที่มีต้นทุนมหาศาลในพื้นที่ เพิ่มการส่งเสริมองค์กรชุมชน: โดยเฉพาะการสนับสนุนด้านการเงินแก่สภาองค์กรชุมชน ตามมาตรา 23 ให้ อปท. สมทบงบประมาณ เพื่อให้มีพลังในการขับเคลื่อนงานสังคมของรัฐ กำหนดเป้าหมายร่วมกันในพื้นที่: ให้ทุกองค์กรในพื้นที่กำหนดเป้าหมายเดียวกัน และสร้างกลไกเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาจังหวัด สร้างมาตรการกลไกให้พื้นที่ดำเนินการได้กว้างขวางขึ้น: เปลี่ยนระบบบังคับบัญชาเป็นการทำงานแบบภาคีที่เท่าเทียม ออกระเบียบรองรับ 'คณะกรรมการภาคประชาสังคมระดับจังหวัด': ให้เครือข่ายภาคประชาชนที่กระจายทั่วประเทศมีตัวตนที่ได้รับการรับรองทางกฎหมาย ปฏิรูปการศึกษา สร้าง 'พลเมือง': ใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือเตรียมคนให้เป็นพลเมือง เรียนรู้โลกใหม่ และพาเด็กลงไปเรียนรู้ในชุมชนจริง

พิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติแก่ชุมชน บุคคล และหน่วยงาน/องค์กร ผู้มีคุณูปการสำคัญ
นายธเนศพล ยังได้มีพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติแก่ชุมชน บุคคล และหน่วยงาน/องค์กร ผู้มีคุณูปการสำคัญ ที่ได้สร้างกำลังใจและวิสัยทัศน์อันแข็งแกร่งให้กับผู้เข้าร่วมงาน และร่วมถ่ายภาพประวัติศาสตร์กับทุกภาคส่วน

เวทีแสดงเจตนารมณ์ “ภาคีรวมพลังเปลี่ยนประเทศไทย”
ต่อจากนั้นเป็นช่วงเวลาสำคัญที่แสดงถึงพลังสามัคคี กับเวทีแสดงเจตนารมณ์ “ภาคีรวมพลังเปลี่ยนประเทศไทย” ซึ่งเป็นการรวมตัวของเครือข่ายกว่า 18 องค์กรชั้นนำ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน อาทิ พอช. สปสช. สสส. นิด้า ม.ธรรมศาสตร์ ม.มหาสารคาม สภาเกษตรกรแห่งชาติ และมูลนิธิต่างๆ ที่พร้อมจับมือขับเคลื่อนประเทศ

พิธีบันทึกความเข้าใจ “การพัฒนาศักยภาพผู้นำการเปลี่ยนแปลง”
และสุดท้ายด้วยพิธีบันทึกความเข้าใจ “การพัฒนาศักยภาพผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ระหว่าง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) กับสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วประเทศ อาทิ นิด้า ม.มหาสารคาม ม.ธรรมศาสตร์ ม.ราชภัฏเชียงราย ม.ทักษิณ และสถาบันพระปกเกล้า ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างและพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต
มหกรรมวิถีพลังไท 3 “พลังองค์กรชุมชน เปลี่ยนประเทศไทย”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัยกรุงเทพมหานคร จัดเวทีดำเนินโครงการบ้านมั่นคงพลัส ระดมความคิด เดินหน้าแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย วางแผนขับเคลื่อนสู่อนาคต
นายจิตรกร พยัฆโส รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย จัดเวทีโครงการบ้านมั่นคงพลัส แบ่งกลุ่มย่อยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ร่วมกับสำนักงานเขต ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงาน
“ธรรมนัส-อัครา” มอบบ้านมั่นคง พร้อมประกาศชัด ดัน “สหกรณ์บ้านมั่นคง” ยกระดับสู่ “สหกรณ์ประเภทที่ 8”
รองนายกฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า และ รมว.พม. อัครา พรหมเผ่า ผนึกกำลัง 2 กระทรวง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเป็นประธานงานสัมมนาเครือข่ายสหกรณ์บ้านมั่นคง
คนจนทั่วประเทศกว่า 5 พันคน รวมพลังยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล “ที่อยู่อาศัย คือสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน” ไว้ในรัฐธรรมนูญ เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2568
ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’
จากความไม่มั่นคงสู่ชุมชนต้นแบบ....บ้านมั่นคงเจริญชัยนิมิตใหม่
เรื่องราวของ ชุมชนเจริญชัยนิมิตใหม่ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เป็นบทพิสูจน์ที่ว่า การรวมพลังและหัวใจของ "คนในชุมชน" พวกเขาพลิกจากอดีตชุมชนแออัดริมทางรถไฟที่มีอายุเก่าแก่กว่า 50 ปี
ชุมชนสวนพลู จากสลัม สู่บ้านมั่นคงโมเดล ใจกลางกรุงเทพฯ
ในอดีต ชุมชนสวนพลูเป็นพื้นที่แออัดใจกลางเมืองที่ประสบปัญหามากมาย ทั้งการอยู่อาศัยอย่างไม่มั่นคงบนที่ดินกรมธนารักษ์, ปัญหาอาชญากรรม, และเศรษฐกิจที่เปราะบาง
หินเหล็กไฟ “ชุมชนผู้ไม่ยอมแพ้"
คำกล่าวที่ว่า "ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้" ดูจะตรงกับเรื่องราวของ "ชุมชนหินเหล็กไฟ" มากที่สุด ที่ซึ่งอดีตผู้บุกรุกที่ดินรถไฟริมทางรถไฟหัวหิน

