
นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานส่งเสริมการผลิตกุ้งก้ามกรามคุณภาพมาตรฐานสากล ครบทุกขั้นตอนตลอดห่วงโซ่การผลิต พร้อมเปิดเผยว่า “กุ้งก้ามกราม” สัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย สามารถสร้างอาชีพให้เกษตรกรได้เป็นอย่างดี ซึ่งกรมประมง มีนโยบายในการพัฒนากุ้งก้ามกรามไทยทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เพื่อยกระดับให้เป็นวัตถุดิบอาหารระดับโลก โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ผ่านกระบวนการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัยให้กับเกษตรกร ตั้งแต่วิธีการเลี้ยงที่ช่วยลดต้นทุนการผลิต การจัดการคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยง เพื่อให้กุ้งก้ามกรามมีสุขภาพที่ดีและเจริญเติบโตอย่างเหมาะสม การเฝ้าระวังและป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นกับกุ้งก้ามกราม ที่สำคัญคือ การพัฒนาสายพันธุ์กุ้งก้ามกรามที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ทั้งในเรื่องของขนาด รูปร่าง และทนทานต่อโรคต่างๆ ปัจจุบันกรมประมงได้พัฒนาสายพันธุ์กุ้งก้ามกราม “มาโคร 1” ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านอัตราการเจริญเติบโตดีขึ้น กุ้งตัวโตเร็ว แข็งแรง และปลอดโรค ช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน จากการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามพันธุ์ มาโคร 1 อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกษตรกรสามารถนำไปต่อยอดขยายผลในการเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามให้มีคุณภาพได้มาตรฐานตรงตามความต้องการของตลาด ควบคู่กับการถ่ายทอดเทคโนโลยีกระบวนการผลิตลูกพันธุ์ การอนุบาล การเพาะเลี้ยงอย่างครบวงจร ภายใต้มาตรฐานสากล เป็นการขยายโอกาสทางการตลาด และเพิ่มมูลค่าการส่งออกกุ้งก้ามกรามของไทยไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพ เช่น จีน เป็นต้น ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามที่มีคุณภาพและราคาดี ที่สำคัญยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศด้วย

สำหรับประเทศไทยมีการเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามกันอย่างแพร่หลายในหลายพื้นที่ อาทิ ราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี กาฬสินธุ์ และเชียงราย เป็นต้น ปัจจุบันมีฟาร์มเพาะเลี้ยงที่ขึ้นทะเบียนกับกรมประมง จำนวน 12,763 แห่ง (ข้อมูล ปี 2567) ทีพื้นที่เลี้ยง 125,476 ไร่ ปริมาณผลผลิต 42,643 ตัน คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 8,701.8 ล้านบาท ถือเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ที่มีผลผลิตและมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูง สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและนำรายได้เข้าสู่ประเทศเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม กรมประมงมีความเข้มงวดในการควบคุมมาตรฐานการผลิตและการส่งออกกุ้งก้ามกราม ทุกกระบวนการผลิตต้องผ่านการขึ้นทะเบียนกับกรมประมงตามที่กำหนด ตั้งแต่โรงเพาะฟัก หรือฟาร์มอนุบาล ฟาร์มเลี้ยง สถานบรรจุสัตว์น้ำ (Packing house) และโรงงานแปรรูป (Processing Establishment) กุ้งก้ามกรามและผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและประเทศคู่ค้าตลอดห่วงโซ่การผลิต

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาราคากุ้งก้ามกรามที่เกษตรกรได้รับทุกขนาดราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น การค้าระหว่างประเทศมีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน โดยปริมาณการส่งออกกุ้งก้ามกรามและผลิตภัณฑ์ของไทยไปยังต่างประเทศ ในห้วงเดือนมกราคม - มิถุนายน ปี 2568 มีปริมาณ 4,206 ตัน มูลค่า 535 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเมื่อช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 มีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น 425 ตัน และมูลค่าเพิ่มขึ้น 124 ล้านบาท สำหรับผลิตภัณฑ์กุ้งก้ามกรามที่มีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้น คือ กุ้งก้ามกรามสำหรับทำพันธุ์ รองลงมาคือกุ้งก้ามกรามสดหรือแช่เย็น และกุ้งก้ามกรามแช่เย็นจนแข็ง ส่วนตลาดส่งออกที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เมียนมา จีน สหรัฐอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มาเลเซีย อย่างไรก็ตาม พบว่าแนวโน้มการผลิตกุ้งก้ามกรามมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงเมื่อเทียบกับราคาที่เกษตรกรขายได้ทำให้เกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเลี้ยง โดยเลี้ยงรวมกับกุ้งขาวมากขึ้น บางส่วนชะลอการเลี้ยงและลดอัตราการปล่อยลูกพันธุ์ ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง ส่งผลให้ราคากุ้งก้ามกรามปรับตัวสูงขึ้น ล่าสุดกรมประมงได้เดินหน้าจัดสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมกุ้งก้ามกรามนครปฐม เพื่อเป็นแหล่งศึกษา ค้นคว้า วิจัยและพัฒนาพันธุ์กุ้งก้ามกรามคุณภาพดี สำหรับกระจายพันธุ์จำนวนกว่า 10 ล้านตัว/ปี ตามความต้องการของเกษตรกรในจังหวัดนครปฐมและพื้นที่ใกล้เคียง ช่วยเพิ่มปริมาณการเลี้ยงกุ้งก้ามกราม และยังเป็นแหล่งเรียนรู้การเลี้ยงกุ้งก้ามกรามที่ถูกต้องตามหลักพันธุศาสตร์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งก้ามกรามในอนาคต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เก็บตกจากงานเสวนา...กรมประมงชี้ปลาหมอคางดำลดลงชัดเจน สะท้อนผลสำเร็จมาตรการบูรณาการทั่วประเทศ
กรมประมงรายงานสถานการณ์ปลาหมอคางดำจากการสำรวจในพื้นที่ระบาดและพื้นที่กันชนล่าสุด มีความคืบหน้าเชิงบวกจากการดำเนินมาตรการอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลสำรวจเดือนกันยายน 2568 พบว่าพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดลดลงเหลือ 17 จังหวัด จากเดิม 19 จังหวัด
กรมประมงเดินหน้าปล่อย “ปลานักล่า” ต่อเนื่อง กทม.บูรณาการทุกภาคส่วนคุมเข้ม “ปลาหมอคางดำ”
กรมประมงยังคงเดินหน้ามาตรการควบคุมและจัดการ “ปลาหมอคางดำ” อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความหนาแน่น และควบคุมการแพร่กระจาย โดยใช้แนวทางบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน
ปล่อย ‘ปลานักล่า’ กรมประมงผนึกซีพีเอฟ ใช้วิถีธรรมชาติ ลดปลาหมอคางดำ ฟื้นสมดุลแหล่งน้ำ
การปล่อยปลานักล่า ช่วยลดปลาหมอคางดำได้ผล กรมประมงผนึกกำลังทุกภาคส่วนและชุมชน เดินหน้ามาตรการควบคุมและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั่วประเทศ ผ่านกิจกรรมการปล่อยพันธุ์ปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง
'รักชนก' เปิดงบฯ69 ของก.เกษตรฯ 15 โครงการ ลงพื้นที่ 'ไผ่ ลิกค์' แบบเฉพาะเจาะจงหรือไม่
น.ส.รักชนก ศรีนอก ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า นาย ไผ่ ลิกค์ สส. จังหวัดกำแพงเพชร เขต 1
รัฐบาล ฟุ้ง แก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ ปลุกร่วมกันกำจัดอย่างต่อเนื่อง
รัฐบาล ติดตามผลการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ ต่อเนื่อง ด้านประมงสมุทรสาครรับซื้อยอดทะลุ 513 ตัน ขอความร่วมมือทุกภาคส่วน ร่วมกำจัดปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง
กรมประมงประกาศปิดอ่าวไทย 3 จังหวัด คุ้มครองฤดูปลามีไข่ 15 ก.พ.-15 พ.ค.
กรมประมงจัดพิธีประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อนในทะเลอ่าวไทย ประจำปี 2568 ณ บริเวณท่าเทียบเรือประมงชุมพร ตำบลปากน้ำ อ.เมือง จ.ชุมพร พร้อมประกาศใช้มาตรการฉบับใหม่


