“ฮ่วมแฮง เบิ่งแงง ส่องซอด” สมัชชาใหญ่ขบวนชุมชนอีสาน พอช. ย้ำพร้อมหนุนพลังประชาชนเต็มที่

มมส. จับมือขบวนองค์กรชุมชนอีสาน จัดสมัชชาใหญ่ พัฒนาภูมิภาคสู่ความยั่งยืน ‘พอช.’ ย้ำบทบาทหนุนเสริมพลังประชาชน “เวทีสมัชชาขบวนองค์กรชุมชนภาคประชาสังคมและมนุษย์-สังคม” รวมพลคนทำงานเพื่ออนาคตอีสาน พร้อมนักวิชาการชั้นนำ ผู้บริหารหน่วยงานพันธมิตร และตัวแทนจาก พอช. ร่วมกำหนดทิศทางเพื่อสร้างพลังความร่วมมือและยกระดับศักยภาพในการแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ระหว่างวันที่ 6–7 กันยายน 2568 ณ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

มหาสารคาม /7 กันยายน 2568 – สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน) หรือพอช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.)  จับมือขบวนองค์กรชุมชนและภาคประชาสังคมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมหน่วยงานภาคี จัดงาน สมัชชาขบวนองค์กรชุมชน ภาคประชาสังคม และมนุษย์-สังคม” ภายใต้แนวคิด ฮ่วมแฮง เบิ่งแงง ส่องซอด อนาคตอีสาน” โดยมีเป้าหมายในการระดมความคิดและกำหนดทิศทางการพัฒนาภาคอีสานร่วมกัน มีผู้เข้าร่วมเวทีกว่า 400 คน ณ ห้องประชุมแม่น้ำของ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

สรุปประเด็นสำคัญสมัชชาใหญ่ขบวนชุมชนอีสาน  

การสร้าง “Esan Dream” ผ่านการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ตั้งแต่ชุมชน ภาควิชาการ ภาครัฐ ไปจนถึงคนรุ่นใหม่ โดยมีเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างการพัฒนาภาคอีสานอย่างยั่งยืน

สถานการณ์และอนาคตอีสาน ต้องมี “พื้นที่กลาง” แลกเปลี่ยนเรียนรู้ กำหนดทิศทางร่วมกัน ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และแรงงานข้ามชาติ ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ สวัสดิการชุมชนคือเครื่องมือลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียม การพัฒนาอีสานต้องเชื่อมโยงศาสตร์หลากหลาย สร้างความสมดุลระหว่างเมือง ชนบท สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม บทเรียนและการขับเคลื่อนงาน อีสานมีทุนสำคัญ 3 ด้าน: สังคม เศรษฐกิจอาชีพ และวัฒนธรรม ขบวนองค์กรชุมชนต้องร่วมคิด วางเป้าหมาย และยุทธศาสตร์การพัฒนา แนวทางสำคัญ: มีทีมวิชาการเข้มแข็ง เชื่อมพรรคการเมือง และผลักดันพรรคภาคประชาชน สภาองค์กรชุมชนเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับปัญหาสู่เชิงนโยบาย สิทธิชุมชนและนโยบายสาธารณะ การรวมกลุ่มคือพลังต่อรองและรักษาสิทธิของชุมชน เป้าหมาย “บ้านที่มากกว่าคำว่าบ้าน” มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตและลดความเหลื่อมล้ำ การขับเคลื่อนต้องใช้ข้อมูลเป็นฐาน และบูรณาการกับนโยบายรัฐ เศรษฐกิจและสวัสดิการชุมชน ต้องเริ่มจากทุนที่มีในชุมชน สร้างกิจกรรมเศรษฐกิจควบคู่สวัสดิการ สวัสดิการชุมชนควรครอบคลุมทุกกลุ่ม ลดความเหลื่อมล้ำ และใช้ข้อมูลเป็นอำนาจในการต่อรอง ความท้าทาย: การจัดสวัสดิการที่ครอบคลุม การแก้ปัญหาความยากจน และการสร้างรายได้

การจัดการภัยพิบัติและชายแดน เน้นการบริหารจัดการพื้นที่อย่างครบวงจร เชื่อมโยงข้อมูลที่อยู่อาศัย คมนาคม และความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องมีพื้นที่กลางให้ภาคประชาชน โดยเฉพาะคนชายแดน เข้ามามีบทบาท ไม่มองแค่มิติความมั่นคง แต่รวมถึงเศรษฐกิจและสังคม การพัฒนาพื้นที่เป็นฐาน ใช้สภาองค์กรชุมชนเป็นตัวตั้งในการทำงาน หลัก 4 ฮ. : โฮม (รวมคน), ฮัก (สร้างรัก), เฮ็ด (ลงมือทำ), เฮียนฮู้ (เรียนรู้ร่วมกัน) เน้น small is beautiful เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ขยายสู่พื้นที่นวัตกรรมและระบบ บทบาทคนรุ่นใหม่ ต้องข้ามข้อจำกัดความคิดเดิม เปิดพื้นที่กลางให้คนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อน สร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการคิด สื่อสาร และปฏิบัติจริง การศึกษาควรตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของเยาวชน และส่งเสริมการเรียนรู้อย่างเท่าเทียม

นายกฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการ พอช.กล่าวว่า การทำงานของเครือข่ายองค์กรชุมชนและภาคประชาสังคมตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่ามีพลังในการขับเคลื่อน แต่ยังขาดการบูรณาการร่วมกัน พอช.จึงริเริ่ม “ภาคีอาสา” ที่เชื่อมโยงหน่วยงานหลัก 9 แห่ง เช่น สสส., สช., สปสช. ให้มาร่วมสนับสนุนพื้นที่ โดยต่างฝ่ายใช้จุดแข็งของตนเสริมซึ่งกันและกัน ไม่ทำงานซ้ำซ้อน ทั้งนี้สภาองค์กรชุมชนซึ่งก่อตั้งมากว่า 17 ปี ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ต้องได้รับการฟื้นฟูและยกระดับ ทั้งในพื้นที่ที่เข้มแข็งและพื้นที่ที่ยังอ่อนแอ เพื่อทำหน้าที่เป็น “กลไกกลาง” และ “พื้นที่กลาง” ของการปรึกษาหารือและการกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาในระดับพื้นที่

“ปี 2569 จะเป็นปีที่สภาองค์กรชุมชนต้องเดินหน้าอย่างชัดเจน เราจะทำงานคู่ขนาน ทั้งเสริมฐานรากที่ตำบล และสร้างจังหวัดจัดการตนเอง เพื่อไม่ให้การพัฒนาล่าช้า เป้าหมายคือประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และประเทศมีรากฐานเข้มแข็ง” นายกฤษดา กล่าว

นายกฤษดา ทิ้งท้ายว่า นอกจากนี้ ยังเน้นการสร้างประชาธิปไตยโดยชุมชน การร่วมกันหาทางออกเพื่อปากท้องและการอยู่ร่วมกัน รวมถึงการจัดการภัยพิบัติ พื้นที่ชายแดน และการสร้างเครือข่ายเข้มแข็งที่เชื่อมโยงทุกภาคของประเทศ หากไม่มีการรวมพลังของขบวนองค์กรชุมชนและภาคประชาสังคม การพัฒนาจะไม่เกิดขึ้น พร้อมเชื่อมั่นว่าการตกผลึกแนวคิดร่วมกันของภาคอีสานจะเป็นต้นแบบการขับเคลื่อนที่มีพลังต่อทั้งประเทศ

สรุปข้อเสนอเชิงนโยบายเครือข่ายขบวนองค์กรชุมชนภาคอีสาน

บริบทและความท้าทาย 1.ความเหลื่อมล้ำและการรวมศูนย์อำนาจ การพัฒนายังพึ่งพารัฐส่วนกลาง ไม่สอดคล้องกับปัญหาเฉพาะพื้นที่ จึงควรกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น 2.โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลง เข้าสู่สังคมสูงวัย แรงงานลดลง เศรษฐกิจชะลอ งบสวัสดิการและสุขภาพเพิ่ม 3.วิกฤตสิ่งแวดล้อมและภูมิอากาศ ภัยแล้ง น้ำท่วม ภัยพิบัติ ส่งผลต่อเกษตร ความมั่นคงอาหาร และการย้ายถิ่น 4.ช่องว่างองค์ความรู้ การวิจัยและนวัตกรรมยังไม่เชื่อมโยงสู่การกำหนดนโยบาย ขาดเครือข่ายวิชาการเข้มแข็ง 5.ข้อจำกัดการบูรณาการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานแยกส่วน ไม่เชื่อมโยงกัน

ข้อเสนอเชิงนโยบาย  1.องค์กรชุมชน 20 จังหวัด ต้องวิเคราะห์ จัดลำดับปัญหา วางแผนพัฒนาพื้นที่ ใช้พื้นที่เป็นฐาน เชื่อมโยงภาคี และขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะร่วม 2.ภาคีหลัก (สสส., สปสช., สช., พอช., กสศ., กสม.) สนับสนุนยุทธศาสตร์ 5 ด้านปี 2569 ได้แก่ ระบบรองรับสังคมสูงวัย การพัฒนาที่อยู่อาศัยและที่ดินสาธารณะ การจัดการภัยพิบัติและชายแดน การพัฒนาศักยภาพผู้นำรุ่นใหม่ สวัสดิการชุมชน–เศรษฐกิจชุมชน–คุณภาพชีวิต

3.สนับสนุนพื้นที่/กลไกกลาง ระดับตำบล–จังหวัด–ภาค สำหรับการพัฒนาชุมชน 4.สสส. สนับสนุนตำบลสุขภาวะและกองทุนร่วมระดับจังหวัด โดยมีเครือข่ายชุมชนเป็นกลไกหลัก 5.สช. ส่งเสริมการพัฒนานโยบายสุขภาพแบบมีส่วนร่วม ใช้เครื่องมือจาก พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ 2550  6.สปสช. ปรับหลักเกณฑ์กองทุนสุขภาพตำบล และ PPA ให้ชุมชนมีส่วนร่วมกำหนดการใช้งบ  7.กสศ. ผลักดันการศึกษาเชิงพื้นที่ (ABE) ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสเรียนรู้และทักษะอาชีพ 8.กสม. พัฒนาศักยภาพองค์กรชุมชนในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ตรวจสอบการละเมิด และเสนอแก้ไขกฎหมาย 9.ภาควิชาการและมหาวิทยาลัย สนับสนุนองค์ความรู้ ข้อมูล วิจัย และการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน เพื่อความเข้มแข็งและยั่งยืน 10.พอช. เป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการความร่วมมือ โดยเน้น พื้นที่นำร่อง/ปฏิบัติการ การสร้างกลไกความร่วมมือและคณะกรรมการบูรณาการ  การพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ชุมชน และการพัฒนาผู้นำ

การจัดสมัชชา”ขบวนองค์กรชุมชนภาคประชาสังคมและมนุษย์-สังคม” ครั้งนี้ จึงนับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนภาคอีสานให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยใช้ภูมิปัญญาและศักยภาพของคนในท้องถิ่นเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนา

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัยกรุงเทพมหานคร จัดเวทีดำเนินโครงการบ้านมั่นคงพลัส ระดมความคิด เดินหน้าแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย วางแผนขับเคลื่อนสู่อนาคต

นายจิตรกร พยัฆโส รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย จัดเวทีโครงการบ้านมั่นคงพลัส แบ่งกลุ่มย่อยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ร่วมกับสำนักงานเขต ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงาน

“ธรรมนัส-อัครา” มอบบ้านมั่นคง พร้อมประกาศชัด ดัน “สหกรณ์บ้านมั่นคง” ยกระดับสู่ “สหกรณ์ประเภทที่ 8”

รองนายกฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า และ รมว.พม. อัครา พรหมเผ่า ผนึกกำลัง 2 กระทรวง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเป็นประธานงานสัมมนาเครือข่ายสหกรณ์บ้านมั่นคง

คนจนทั่วประเทศกว่า 5 พันคน รวมพลังยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล “ที่อยู่อาศัย คือสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน” ไว้ในรัฐธรรมนูญ เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2568

ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’

จากความไม่มั่นคงสู่ชุมชนต้นแบบ....บ้านมั่นคงเจริญชัยนิมิตใหม่

เรื่องราวของ ชุมชนเจริญชัยนิมิตใหม่ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เป็นบทพิสูจน์ที่ว่า การรวมพลังและหัวใจของ "คนในชุมชน" พวกเขาพลิกจากอดีตชุมชนแออัดริมทางรถไฟที่มีอายุเก่าแก่กว่า 50 ปี

ชุมชนสวนพลู จากสลัม สู่บ้านมั่นคงโมเดล ใจกลางกรุงเทพฯ

ในอดีต ชุมชนสวนพลูเป็นพื้นที่แออัดใจกลางเมืองที่ประสบปัญหามากมาย ทั้งการอยู่อาศัยอย่างไม่มั่นคงบนที่ดินกรมธนารักษ์, ปัญหาอาชญากรรม, และเศรษฐกิจที่เปราะบาง

หินเหล็กไฟ “ชุมชนผู้ไม่ยอมแพ้"

คำกล่าวที่ว่า "ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้" ดูจะตรงกับเรื่องราวของ "ชุมชนหินเหล็กไฟ" มากที่สุด ที่ซึ่งอดีตผู้บุกรุกที่ดินรถไฟริมทางรถไฟหัวหิน