เครือข่าย 'บ้านมั่นคง' ทั่วประเทศ เปิดยุทธศาสตร์ 'ชุมชนนำ-พื้นที่เป็นตัวตั้ง' แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืน

กรุงเทพฯ/13กันยายน68 - สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. จัดเวทีสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เครือข่ายบ้านมั่นคงจังหวัด: ชุมชนเป็นฐานการพัฒนาใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง” เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยชุมชนเป็นแกนกลาง โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายในระดับพื้นที่ เพื่อให้ชุมชนสามารถบริหารจัดการโครงการที่อยู่อาศัยได้ด้วยตนเองอย่างเป็นอิสระ โดยไม่ต้องรอการตัดสินใจจากส่วนกลาง โดยมีผู้แทนจากเครือข่ายบ้านมั่นคงจาก 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ เข้าร่วมกว่า 200 คน  ณ ห้องประชุมไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ชั้น 1 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน) บางกะปิ กรุงเทพฯ

หนุนทีมทำงานระดับจังหวัด 'ชุมชนนำ-ตนเองทำได้' ลดการพึ่งพิงส่วนกลาง

นางสาวเฉลิมศรี ระดากูล รองผู้อำนวยการ พอช.กล่าวว่า "แนวทางใหม่ของการขับเคลื่อนงานบ้านมั่นคง คือ การสร้างคนทำงานในระดับพื้นที่" ซึ่งถือเป็นการปรับกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญของ พอช. แผนงานที่สำคัญคือการที่ จะจัดตั้งทีมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินในระดับจังหวัดจำนวน 29 จังหวัด รวมถึงจังหวัดอื่น ๆ ที่มีโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนา เพื่อเป็นกลไกหลักในการประสานงานและให้คำปรึกษาแก่ชุมชนโดยตรง ทำให้การทำงานรวดเร็วและตอบสนองต่อความต้องการของคนในพื้นที่ได้จริง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดคนทำงานในโครงการบ้านมั่นคงครอบคลุมทั่วประเทศ โมเดลดังกล่าวนี้เป็นการขยายผลจากความสำเร็จที่ผ่านมาของโครงการบ้านมั่นคง ซึ่งมุ่งเน้นให้ชุมชนเป็นเจ้าของและเป็นผู้จัดการโครงการด้วยตนเองตั้งแต่ต้น โดย พอช. จะทำหน้าที่เป็นเพียงผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวก เพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับบริบทและความต้องการเฉพาะของแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการทำงาน พอช. จะจัดเวทีให้มีการนำเสนอโครงการและแลกเปลี่ยนบทเรียนการทำงานระหว่างเครือข่ายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกเดือน เพื่อเป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือและต่อยอดแนวคิดใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว

เสียงจากแกนนำเครือข่ายบ้านมั่นคง แกนนำจากทุกภูมิภาคร่วมให้กำลังใจการขับเคลื่อนงานบ้านมั่นคง

นางอาภรณ์ บุญยะไวโรจน์ เครือข่ายบ้านมั่นคงจังหวัดสตูล  “ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนขยับการทำงานในจังหวัดของตนไปข้างหน้า”

นางนิตยา พร้อมพอชื่นบุญ เครือข่ายบ้านมั่นคงกรุงเทพมหานคร “บ้านคือรากฐานสุขภาพ สุขภาพที่ดีจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีที่อยู่อาศัยมั่นคง เราจึงผลักดันให้เรื่องบ้านและที่ดินเข้าไปอยู่ในสมัชชาสุขภาพของ กทม. เพื่อให้ลูกหลานไม่ต้องต่อสู้ซ้ำ”

นางสนอง รวยสูงเนิน เครือข่ายบ้านมั่นคงจังหวัดขอนแก่น “การรวมตัวของพี่น้อง 28 จังหวัดคือสัญญาณว่าเราจะก้าวไปพร้อมกัน ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง พอช. จะให้ความสำคัญกับการทำงานระดับจังหวัด เพื่อช่วยพื้นที่ที่ยังไม่แข็งแรงให้เรียนรู้จากจังหวัดที่เข้มแข็งได้”

นางปราณี วัชรเสถียร เครือข่ายบ้านมั่นคงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  “เราทุกคนมีเลือดนักพัฒนา เชื่อมั่นว่าจิตวิญญาณนี้จะนำพาจังหวัดของเราก้าวต่อไปได้”

นางสาววิภาศศิ ช้างทอง เครือข่ายบ้านมั่นคงจังหวัดสุพรรณบุรี  “ควรผนึกกำลังทั้งภายใน พอช. และหน่วยงานภายนอก เพื่อสร้างพลังชุมชนเข้มแข็ง จัดการตนเองได้อย่างแท้จริง”

นางสาว วัชราภรณ์ ชาญณรงค์ หรือ น้องใบตอง เครือข่ายคนรุ่นใหม่ภาคเหนือ “การทำงานต้องมีทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ร่วมกัน จะช่วยลดช่องว่าง และขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัย เศรษฐกิจ และสังคมไปพร้อมกัน”

ภาพรวมการขับเคลื่อนงานบ้านมั่นคงเมืองและชนบท ปี 2568

นางสาวสุธิดา บัวสุขเกษม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัยเมืองและชนบทได้กล่าวถึง ภาพรวมการขับเคลื่อนงานบ้านมั่นคงเมืองและชนบท ปี 2568 มีอยู่ด้วยกันคือเรื่อง พัฒนาคุณภาพโครงการ ครอบคลุมการจัดการสินเชื่อบ้านมั่นคง การเบิกจ่ายงบ การก่อสร้าง การสอบทานและปิดโครงการ รวมถึงการจัดหาห้องเช่าราคาถูก ใช้โปรแกรมโคครีเอท ไทยแลนด์ เป็นเครื่องมือจัดเก็บ วิเคราะห์ และติดตามข้อมูลด้านที่ดิน โครงการ และการขับเคลื่อนจังหวัด โดยมีทีมแอดมินภาค/จังหวัดช่วยสนับสนุนการวางแผนและเชื่อมโยงภาคี พัฒนาองค์กรการเงินชุมชน กลุ่มออมทรัพย์ 281 องค์กร สหกรณ์ 506 องค์กร มีแผนสร้างความร่วมมือกับกรมส่งเสริมและตรวจบัญชีสหกรณ์ เพื่ออบรมและขยาย “นักบัญชีอาสา” ฟื้นฟูสหกรณ์และพัฒนากองทุนเมือง–กองทุนรักษาดินบ้าน พร้อมบริหาร NPL อย่างมีระบบ

นางสาวสุธิดากล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากนี้ยังมีการ เสริมความเข้มแข็งเครือข่ายและทีมงาน พัฒนาเครือข่ายระดับจังหวัด ตำบล ทีมยุทธศาสตร์ ช่าง ทีมข้อมูล เครือข่ายคนรุ่นใหม่ โดยโครงการรุ่นใหม่ปีที่ 3 มีแล้วกว่า 90 โครงการ เน้นพลังการทำงานและการเรียนรู้ร่วมกัน ไม่ใช่เพียงโครงการบ้าน พื้นที่รูปธรรมเด่น  พบแล้วเบื้องต้น 67 พื้นที่ใน 4 จังหวัด พร้อมให้แต่ละจังหวัดสำรวจเพิ่มเติม การจัดการความรู้ มีพื้นที่เด่นไม่น้อยกว่า 64 พื้นที่ ที่แสดงตัวอย่างการสร้างความมั่นคงที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อมดี มีสวัสดิการ ออมทรัพย์ เศรษฐกิจชุมชน และสิ่งแวดล้อมเข้มแข็ง ปี 2569 จะต่อยอดการถอดบทเรียนและเสริมศักยภาพด้านการสื่อสาร พื้นที่เฝ้าระวังเร่งด่วน เน้นแก้ปัญหาโครงการที่ก่อสร้างไม่เสร็จ/ร้องเรียน/ยังไม่ปิดโครงการ เป้าหมาย 100 พื้นที่ พร้อมจัดพื้นที่เรียนรู้ 3–4 แห่งต่อภาค งานนโยบาย ครอบคลุมที่ดิน ส.ป.ก., คทช., บจธ., ที่อยู่อาศัยพื้นที่รางรถไฟ–ลุ่มน้ำเจ้าพระยา, ชุมชนชายฝั่ง, นิคม Next 12, ชาติพันธุ์, พื้นที่ชายแดน, การจัดการภัยพิบัติ, บ้านมั่นคงพลัส (กทม.) และการพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงพื้นที่ นวัตกรรมที่อยู่อาศัย พัฒนาแบบ Universal Design และ Mixed Use เชื่อมโยงมิติคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว สร้างความร่วมมือกับภาคี มหาวิทยาลัย สสส. ภาคเอกชน ในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ปลูกเปลี่ยนเมือง ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และกิจกรรมหนุนเสริมคุณภาพชีวิต

ทิศทางการขับเคลื่อนขบวนเครือข่ายองค์กรชุมชนเป็นหลักในการเคลื่อนงานพัฒนาใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง

นายกนกศักดิ์ ดวงแก้วเรือน แกนนำเครือข่ายบ้านมั่นคงจังหวัดเชียงใหม่กล่าวถึง ทิศทางการขับเคลื่อนงานบ้านมั่นคงในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากพื้นที่อื่น โดยเป็นจังหวัดขนาดใหญ่ มีถึง 25 อำเภอ 204 ตำบล 2,066 หมู่บ้าน ทำให้งานบ้านมั่นคงต้องกระจายไปในหลายพื้นที่ และแกนนำแต่ละคนต้องรับผิดชอบมากกว่าหนึ่งพื้นที่ การขับเคลื่อนงานส่วนใหญ่ในเชียงใหม่เป็น บ้านมั่นคงชนบท ซึ่งยังคงดำเนินการได้ต่อเนื่อง แต่โครงการ บ้านมั่นคงเมืองกลับอ่อนตัวลง เนื่องจากแกนนำหลายท่านเสียชีวิตหรือเลิกทำงาน และยังไม่มีคนรุ่นใหม่เข้ามาสืบต่อ ทำให้พลังขับเคลื่อนในเขตเมืองลดลงอย่างมาก ที่ผ่านมา จังหวัดเชียงใหม่มีโครงการบ้านมั่นคงทั้งหมด 52 โครงการ แต่สามารถปิดโครงการสำเร็จได้เพียง 37 โครงการ เท่านั้น สะท้อนความท้าทายทั้งเชิงโครงสร้างและการมีส่วนร่วม เครือข่ายจังหวัดมีความตั้งใจที่จะใช้บ้านมั่นคงเป็นกลไกในการแก้ปัญหาที่ดินของรัฐ และสร้างแรงกระเพื่อมไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายในระดับจังหวัด แต่รูปแบบการทำงานแบบเดิมที่เน้นเป็น “จุด ๆ” แม้ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนบางแห่งได้จริง ทว่าก็ยังไม่สามารถสร้างแรงขับเคลื่อนเชิงนโยบายในระดับจังหวัดได้

นางอาภรณ์ บุญยะไวโรจน์ เครือข่ายบ้านมั่นคงจังหวัดสตูลกล่าวถึง ทิศทางการทำงานว่า จังหวัดสตูลมีลักษณะพื้นที่เฉพาะ ทั้ง 7 อำเภอ ครอบคลุมทั้งชุมชนริมฝั่งทะเลและพื้นที่ภูเขา โดยปัญหาหลักของการพัฒนาที่อยู่อาศัยอยู่ในเขต ป่าชายเลนและที่ดินกรมเจ้าท่า ซึ่งสะท้อนความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงที่ดินของประชาชน บ้านมั่นคงในสตูลเริ่มต้นจาก การรวมตัวของพี่น้องในชุมชนริมฝั่ง เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย โดยใช้การเก็บข้อมูลเป็นเครื่องมือสำคัญ ปัจจุบันมีการดำเนินงานแล้วกว่า 3,700 ครัวเรือน ส่วนใหญ่ในที่ดินป่าเลนและที่ดินกรมเจ้าท่าช่วงแรกการทำงานค่อนข้างช้า แต่ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา เราเริ่มทำงานอย่างเข้มข้นและเป็นระบบมากขึ้น เน้นการจัดทีมงานชัดเจนในระดับตำบลและชุมชน เชื่อมโยงไปถึงเทศบาลให้เข้ามาเป็นตัวหลักในการตอบโจทย์ ด้วยบริบทที่ชุมชนริมฝั่งมีทรัพยากรทางทะเลและสิ่งแวดล้อมอุดมสมบูรณ์ เครือข่ายจึงเริ่มปรับแนวคิดจาก “บ้านมั่นคง” ในเชิงที่อยู่อาศัย มาสู่ “บ้านมั่นคงที่อยู่ร่วมกับทะเล” หรือการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่คำนึงถึงระบบนิเวศและเศรษฐกิจชุมชนริมฝั่ง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหญ่คือ แรงกดดันจากนายทุน ที่เข้ามาซื้อที่ดินริมฝั่งเพื่อพัฒนาโครงการท่องเที่ยว ซึ่งอาจกระทบสิทธิและวิถีชีวิตของชาวบ้าน สถานการณ์นี้ทำให้ชุมชนในสตูลและตรังเริ่มหารือร่วมกันว่าจะออกแบบ “แผนจัดการทรัพยากรชายฝั่ง” เพื่อให้พี่น้องในพื้นที่ยังคงใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นธรรมการทำงานในสตูลเน้น ให้อิสระแก่ตำบลในการพัฒนาทุกเรื่อง โดยใช้ “ตำบล” เป็นพื้นที่บูรณาการ มีทั้งสภาองค์กรชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมมือ ตัวอย่างที่เริ่มต้นแล้ว เช่น ที่ อำเภอนิคมพัฒนา และอำเภอละงู ซึ่งมีการขับเคลื่อนในระดับอำเภออย่างจริงจัง ล่าสุด พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) เตรียมเสนอชื่อ คณะทำงานบูรณาการระดับจังหวัด เพื่อสนับสนุนศักยภาพคน ดูแลโครงการ และผลักดันเชิงนโยบาย โดยจะค้นหาพื้นที่รูปธรรมเพื่อนำมาสื่อสารขยายผลต่อไป

นายจิตรกร พยัฆโส รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย กรุงเทพมหานครได้กล่าวว่า ภาพรวมสถานการณ์ที่อยู่อาศัยใน กทม. มีชุมชนที่ยังคงอยู่ในสถานะที่อยู่อาศัยไม่มั่นคงกว่า 1,000 ชุมชน ซึ่งรวมถึงชุมชนแออัด 600 แห่ง และชุมชนบุกรุกอีกกว่า 400 แห่ง ที่ผ่านมา พอช. ได้ขับเคลื่อนโครงการบ้านมั่นคงในพื้นที่กรุงเทพฯ ไปแล้วประมาณ 200 โครงการ ครอบคลุมกว่า 10,000 ครัวเรือน แต่ยังมีครัวเรือนอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ อุปสรรคหลักคือข้อจำกัดทางกฎหมายที่ทำให้ กทม. ไม่สามารถนำที่ดินสาธารณะที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมาใช้ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยได้โดยตรง เนื่องจากอำนาจการอนุญาตขึ้นอยู่กับ กระทรวงมหาดไทย และ กทม. ไม่สามารถจัดตั้ง คทช. (คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ) ได้เพราะมีสถานะเป็น “พื้นที่พิเศษ” ไม่ใช่ “จังหวัด” นอกจากนี้ การโยกย้ายของข้าราชการบ่อยครั้งยังส่งผลให้การทำงานขาดความต่อเนื่อง ปลดล็อกกฎหมาย: มีการตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหาที่ดินสาธารณะ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธาน ซึ่งคาดหวังว่าจะสามารถแก้ไขข้อจำกัดทางกฎหมาย เพื่อให้สามารถนำที่ดินมาให้ชุมชนเช่าระยะยาวได้ ต้นแบบความร่วมมือ กทม. และ พอช. กำลังจะเริ่มโครงการนำร่องที่ดินแปลงแรกใน เขตประเวศ โดย กทม. ให้เช่าที่ดิน และ พอช. สนับสนุนงบประมาณการก่อสร้าง ถือเป็นโมเดลสำคัญของความร่วมมือ ดึงเอกชนร่วมทุน กทม. อยู่ระหว่างการศึกษามาตรการจูงใจทางภาษี เพื่อดึงดูดภาคเอกชนให้เข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่เมือง เสริมพลังชุมชน มีการปรับโครงสร้างคณะกรรมการเมืองในทั้ง 50 เขต โดยให้ ตัวแทนชุมชนเป็นประธาน และ ผอ.เขตเป็นที่ปรึกษา ซึ่งเป็นการกระจายอำนาจให้คนในพื้นที่ได้ตัดสินใจโดยตรง การลงนาม MOUกทม. และ พอช. เตรียมลงนามบันทึกความร่วมมือฉบับที่ 2 ในเดือนตุลาคม เพื่อยืนยันความมุ่งมั่นในการทำงานร่วมกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

นายศุภเกียรติ เมืองแก้ว เครือข่ายคนรุ่นใหม่กล่าวว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายคนรุ่นใหม่ได้รับการสนับสนุนจาก สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 6 รวมกว่า 237 โครงการ กระจายใน 5 ภาค โดยเฉพาะภาคเหนือที่มีมากถึง 110 โครงการ เนื้อหาการทำงานของคนรุ่นใหม่ครอบคลุม 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ สุขภาวะกาย–ใจ เศรษฐกิจ สังคมและการศึกษาสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้สะท้อนการมองบ้านมั่นคงในมิติที่กว้างกว่า “บ้าน” คือการสร้างรากฐานให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว โครงการคนรุ่นใหม่ทำหน้าที่เป็น เครื่องมือสร้างคน ที่เชื่อมต่อผู้นำรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ซึ่งมีคนรุ่นใหม่จำนวนมากเติบโตมาจาก ขบวนสภาองค์กรชุมชนและสวัสดิการ แล้วนำทักษะใหม่ ๆ เช่น การสื่อสาร การทำข้อมูล และการจัดการโครงการ มาเติมเต็มขบวน บทบาทของคนรุ่นใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียง “ผู้เรียนรู้” แต่ยังได้โอกาสเป็น ทีมปั้น (Incubator Team) ที่ช่วยออกแบบโครงการ เช่น โครงการแม่แจ่ม การสรุปบทเรียน และการนำเสนอความคิดเชิงนโยบาย ทำให้พวกเขาได้รับการยอมรับในเวทีจังหวัดและภาค หนึ่งในโจทย์ใหญ่ของคนรุ่นใหม่คือ การทำงานแบบลุยเดี่ยว แต่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายเริ่มเรียนรู้วิธีการทำงานร่วมกัน ปีแรกยังเป็นเพียงการรวมกลุ่ม ปีที่สองเริ่มเห็นการปฏิบัติการจริง และในปีที่สาม (ปี 2569) คาดว่าจะเป็นปีแห่ง “การเข้าสู่ระบบ” ที่คนรุ่นใหม่จะช่วยวางโครงสร้างการทำงานและเชื่อมโยงประเด็นต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เราไม่ได้วิ่งตามทุนนิยม แต่เรียนรู้ที่จะอยู่กับทุนในบ้านของเรา

รศ.ดร.จิรันธนิน กิติกา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า เริ่มต้นการทำงานในพื้นที่แบบไม่รู้ล่วงหน้า โดยมีบทบาทเป็น ผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้ทำงานหลักแทนชุมชน . แนวคิดหลักคือ "วิถีต้องปรับตัว ป่าเปลี่ยน คนก็ต้องเปลี่ยน" ซึ่งหมายถึงการที่ชุมชนต้องปรับวิถีชีวิตให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างนักศึกษาและชุมชน โดย พอช. ได้ส่งโจทย์มาให้ก่อนเปิดเทอม ทำให้สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนได้ นักศึกษาได้ลงพื้นที่จริงไปนอนและทำงานในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ นักศึกษาและชาวบ้านช่วยกันทำ ผังตำบล เพื่อสำรวจและเก็บข้อมูล จัดเวิร์กช็อป เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางแก้ไข พบว่าหมู่ 4 เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักสุด เนื่องจากชาวบ้าน ชินชา กับภัยพิบัติ ทำให้สร้างบ้านไม่มั่นคง ไม่มีฐานราก และพังง่าย สรุปว่า ความร่วมมือ คือสิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ระยะเวลาที่ใช้ในการทำงาน โดย พอช. ได้สร้าง กลไก และ คณะทำงานที่เข้มแข็ง ในพื้นที่ไว้แล้ว ซึ่งช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ภายหลังจากการลงพื้นที่ ได้มีการนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาเป็น โครงการ เพื่อขอรับงบประมาณจาก พอช. นอกจากนี้ ยังมีการทำ บันทึกความร่วมมือ ระหว่าง พอช. ภาคเหนือ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อสร้าง "พื้นที่เรียนรู้" ในการทำงานร่วมกันในระยะยาว

นางสาวเฉลิมศรี ระดากูล รองผู้อำนวยการ พอช.ได้กล่าวถึง ทิศทางการทำงานที่สำคัญสองส่วน ได้แก่ การร่วมมือกับสถาบันการศึกษา พอช. จะประสานงานกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศเพื่อช่วยออกแบบและสร้างที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับแต่ละท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมุ่งดึงคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการมากขึ้น เพื่อให้พวกเขาได้ทำงานและมีรายได้ในพื้นที่บ้านเกิดของตนเอง และยังคงมีชีวิตที่อบอุ่นอยู่กับครอบครัว การสร้างคนในพื้นที่: แนวทางใหม่คือการสร้างคนทำงานในชุมชนให้มีศักยภาพในการจัดการปัญหาด้วยตนเอง เพื่อไม่ให้ต้องพึ่งพาเจ้าหน้าที่ พอช. ที่มีจำนวนจำกัด โดยจะใช้สภาองค์กรชุมชนเป็นเวทีกลางในการจัดทำแผนงานที่อยู่อาศัยและเศรษฐกิจ ทำให้เกิดทีมทำงานที่มีความหลากหลายและครอบคลุมทั่วพื้นที่

นางรชนีย์กร จันทร์บริบูรณ์ เครือข่ายบ้านมั่นคงเขตบางบอน กล่าวว่า แม้บางบอนจะเป็นเขตเล็กๆ แต่สามารถจัดตั้งสหกรณ์ได้ถึง 6 แห่ง และครอบคลุม 12 ชุมชน โดยในช่วงเริ่มต้นการทำงานเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ด้วยความร่วมมือของคณะกรรมการและสภาชุมชน ทำให้สามารถต่อรองและทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่เขตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดเปลี่ยนสำคัญคือการที่สำนักงานเขตบางบอนเริ่มยอมรับในศักยภาพของชาวบ้านที่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อยู่อาศัย หรือการดูแลกันในช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งการพูดคุยไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องบ้าน แต่ขยายไปสู่มิติอื่น ๆ เช่น การดูแลผู้สูงอายุ การสร้างอาชีพ และการดึงเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วม ทำให้ชุมชนเริ่มแข็งแกร่งขึ้นจากรากฐาน และมีความสามารถในการพึ่งพาตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องรอความช่วยเหลือจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ทุกเรื่อง การที่ผู้อำนวยการเขตคนใหม่เข้ามาเห็นถึงพลังของชาวบ้าน และพร้อมให้การสนับสนุน ทำให้การแก้ไขปัญหาในชุมชนที่เคยเป็นเรื่องยากมีความคืบหน้าไปอย่างมาก โมเดลความสำเร็จของบางบอนจึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การสร้างคนทำงานในชุมชนและให้ชาวบ้านมีอำนาจในการจัดการด้วยตนเอง จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัยกรุงเทพมหานคร จัดเวทีดำเนินโครงการบ้านมั่นคงพลัส ระดมความคิด เดินหน้าแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย วางแผนขับเคลื่อนสู่อนาคต

นายจิตรกร พยัฆโส รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย จัดเวทีโครงการบ้านมั่นคงพลัส แบ่งกลุ่มย่อยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ร่วมกับสำนักงานเขต ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงาน

“ธรรมนัส-อัครา” มอบบ้านมั่นคง พร้อมประกาศชัด ดัน “สหกรณ์บ้านมั่นคง” ยกระดับสู่ “สหกรณ์ประเภทที่ 8”

รองนายกฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า และ รมว.พม. อัครา พรหมเผ่า ผนึกกำลัง 2 กระทรวง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเป็นประธานงานสัมมนาเครือข่ายสหกรณ์บ้านมั่นคง

คนจนทั่วประเทศกว่า 5 พันคน รวมพลังยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล “ที่อยู่อาศัย คือสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน” ไว้ในรัฐธรรมนูญ เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2568

ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’

จากความไม่มั่นคงสู่ชุมชนต้นแบบ....บ้านมั่นคงเจริญชัยนิมิตใหม่

เรื่องราวของ ชุมชนเจริญชัยนิมิตใหม่ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เป็นบทพิสูจน์ที่ว่า การรวมพลังและหัวใจของ "คนในชุมชน" พวกเขาพลิกจากอดีตชุมชนแออัดริมทางรถไฟที่มีอายุเก่าแก่กว่า 50 ปี

ชุมชนสวนพลู จากสลัม สู่บ้านมั่นคงโมเดล ใจกลางกรุงเทพฯ

ในอดีต ชุมชนสวนพลูเป็นพื้นที่แออัดใจกลางเมืองที่ประสบปัญหามากมาย ทั้งการอยู่อาศัยอย่างไม่มั่นคงบนที่ดินกรมธนารักษ์, ปัญหาอาชญากรรม, และเศรษฐกิจที่เปราะบาง

หินเหล็กไฟ “ชุมชนผู้ไม่ยอมแพ้"

คำกล่าวที่ว่า "ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้" ดูจะตรงกับเรื่องราวของ "ชุมชนหินเหล็กไฟ" มากที่สุด ที่ซึ่งอดีตผู้บุกรุกที่ดินรถไฟริมทางรถไฟหัวหิน