'เอกนัฏ' ย้ำบัตรลุงตู่พลัสมีที่มาที่ไปงบประมาณ ชี้ทำมาแล้ว-จะทำต่อให้ดีขึ้น เน้นช่วยเหลือ ปชช.ที่จำเป็น ไม่หน้ามืดหว่านแหประชานิยม อัด 'หมื่นดิจิทัล' เหมือนเป็นหวัดแล้วทำคีโม หวั่นนำประเทศเข้าภาวะฟองสบู่แตกอีก
26 เม.ย.2566 - นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพรรคการเมืองต่างๆที่มีการใช้งบประมาณจำนวนมากอาจกระทบวินัยทางการเงินการคลังของประเทศ รวมไปถึงนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัสของพรรค รทสช.ด้วย ว่าสังเกตว่าเป็นความพยายามที่จะสร้างข่าวให้เกิดความสับสน โดยดึงเอานโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัสหรือที่คนเรียกกันว่า บัตรลุงตู่พลัสไปเปรียบเทียบในแง่ของงบประมาณ เพื่อกลบเกลื่อนประเด็นที่ไปที่มาของงบประมาณสำหรับนโยบายของบางพรรคการเมืองที่กำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนัก และตอบคำถามไม่ได้ในขณะนี้
นายเอกนัฏยืนยันว่า นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัสของพรรรค รทสช.ที่จะเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจากปัจจุบัน 300 บาทเป็น 1,000 บาทนั้นมีการออกแบบ และคำนวณที่มาของงบประมาณอย่างรอบคอบ และสามารถอธิบายถึงขั้นตอนการปฏิบัติได้อย่างละเอียดว่าเป็นการใช้เงินในระบบงบประมาณปกติ ไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ และไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนในอนาคตอย่างแน่นอน
“นโยบายบัตรลุงตู่พลัส เป็นการต่อยอดจากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ทำมาแล้ว และนำมาออกแบบเพิ่มออปชั่นในด้านต่างๆ เพื่อทำต่อให้ตรงกับความต้องการของประชาชนให้มากขึ้น ซึ่งสามารถทำได้จริง และมีงบประมาณรองรับอย่างไม่มีปัญหา” นายเอกนัฏ ระบุ
เลขาธิการพรรครทสช.กล่าวต่อว่า ได้กำชับผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกคนให้ลงพื้นที่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายของพรรคในทุกแง่มุม โดยเฉพาะเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัส ที่ประชาชนสอบถามมามากกว่า จะใช้งบประมาณจากส่วนไหน ซึ่งเราก็สามารถอธิบายว่า เป็นเงินจากงบประมาณประจำปี ที่จะไม่เดือดร้อนถึงประชาชน แตกต่างจากนโยบายของบางพรรคการเมืองที่โอ้อวดว่าหาเงินเป็น แต่ยังตอบไม่ได้ว่า จะนำงบประมาณส่วนใดมาดำเนินโครงการ เพราะเท่าที่ดูงบประมาณรายจ่ายประจำปีของประเทศไม่น่าจะพอสำหรับการดำเนินการ ยิ่งถ้าดันทุรังทำโครงการทั้งที่ยังไม่มีที่มาของงบประมาณ ย่อมส่งผลเสียต่อประเทศชาติในอนาคต ดังนั้น การทำนโยบายหาเสียงของทุกพรรคการเมืองจำเป็นต้องยึดหลักความรับผิดชอบต่อประเทศชาติด้วย
“บัตรลุงตู่พลัส เราช่วยเหลือดูแลผู้ที่ขาดโอกาส และผู้มีรายได้ต่ำ มีการกำหนดคุณสมบัติ และเปิดให้กลุ่มเป้าหมายลงทะเบียนเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เป็นความช่วยเหลือแบบเกาถูกที่คัน เฉพาะจุดที่จำเป็น ไม่หว่านแห่ไร้หลักคิดเพียงเพื่อหวังคะแนนเสียงจนอดห่วงไม่ได้ว่า หากทุกพรรคเสนอเรื่องประชานิยมแบบไร้ขอบเขตกันหมดจะส่งผลเสียหายต่อประเทศขนาดไหน”นายเอกนัฏ กล่าว
นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า ทุกพรรคการเมืองควรคำนึงถึงความจำเป็นของนโยบายในแต่ละห้วงเวลา ไม่ใช่มุ่งแต่จะเกทับบลัฟแหลก เพื่อหวังแค่คะแนนเสียงเท่านั้น โดยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัสเราส่งถึงมือประชาชนเดือนละ 1,000 บาท 1 ปี รวมแล้วก็ 12,000 บาท 4 ปี 48,000 บาท พร้อมให้เบิกฉุกเฉิน 10,000 บาท เพื่อให้ใช้จ่ายกรณีจำเป็น ขณะที่กระเป๋าเงินดิจิทัล เท่าที่ติดตามทราบว่า จะแจกครั้งเดียวและให้ใช้ภายใน 6 เดือน และจำกัดระยะทางการใช้จ่าย หากใช้ไม่หมดเงินจะสูญทันที ที่สำคัญยังชี้แจงคลุมเครือบอกว่าจะไม่ยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่คนจนจะหมดไปเอง หากได้รับเงินจากกระเป๋าเงินดิจิทัล ถามว่า มีหลักประกันอะไรที่ว่าหากประชาชนได้เงินไปใช้จ่าย 10,000 บาทภายใน 6 เดือน แล้วจะหายจากความยากจน และหมดโอกาสที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทันที ที่สำคัญการนำเงินไปแจกคนกว่า 56 ล้านคน โดยไม่ได้คำนึงถึงฐานะทางเศรษฐกิจ หรือความจำเป็น ไม่น่าใช่การช่วยเหลือที่ถูกจุด
“การทำนโยบายหาเสียงต้องดูด้วยว่าเป็นแค่หวัดก็ควรให้ยารักษาบรรเทาอาการหวัดไม่ใช่เป็นหวัดแล้วไปทำคีโม จนต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ส่งผลให้ส่วนอื่นของร่างกายทรุดโทรมไปหมด อีกทั้งขณะนี้เป็นที่ทราบว่า เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของเรากำลังจะฟื้นจากหลายนโยบายของรัฐบาล แต่จู่ๆ จะประชานิยมสุดโต่งนำเงินงบประมาณ 5.6 แสนล้านบาท ที่ยังไม่รู้จะเอามาจากส่วนไหนไปทุ่มในจุดที่ไม่มีความจำเป็น ก็อาจทำให้บางเครื่องยนต์เกิดอาการช้อตได้ ทั้งภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่งผ่อนคลาย หรือวิกฤตถึงขั้นกลับไปเผชิญภาวะฟองสบู่แตก เพราะทุกกลไกเสียหายอย่างหนักก็เป็นได้” นายเอกนัฏ ระบุ
นายเอกนัฏ กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัสของพรรคร รทสช. หรือที่เรียกกันติดปากว่า บัตรลุงตู่พลัส มุ่งช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ขาดโอกาสอย่างตรงจุด โดยให้ความช่วยเหลือกับคนที่สมควรจะได้รับการดูแล ไม่หว่านแหเหมือนกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ให้ทุกคน ไม่ว่ารวย หรือจน จะเป็นเจ้าสัวหรือยาจก ก็ได้เหมือนกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างแน่นอนจึงต้องฝากไปถึงประชาชนที่ต้องไตร่ตรองให้ดีว่า นโยบายของแต่ละพรรคทำได้จริง หรือเข้าข่ายหลอกลวงประชาชนหรือไม่ และทำไปแล้วจะส่งผลต่อภาพรวมของประเทศหรือไม่อย่างไรด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รทสช. เปิด 3 แคนดิเดตนายกฯ ชูสโลแกน เด็ดขาดแก้วิกฤต พลิกโฉมประเทศ
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค และนายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรค แถลงนโยบายพรรค พร้อมเปิดสโลแกนพรรค “เด็ดขาดแก้วิกฤต พลิกโฉมประเทศ” และเปิดแคนดิเดตนายกฯ 3 คน ได้แก่ นายพีระพันธุ์ นายอรรถวิชช์ และนายนราพัฒน์
'รทสช.' เตรียมเปิดตัว แคนดิเดตนายกฯ-นโยบายพรรคชุดแรก 22 ธ.ค.นี้
พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เตรียมแถลงเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และนโยบายชุดแรก ในวันที่ 22 ธ.ค.68 เวลา 13.00 น. ณ ที่ทำการพรรค
'คนกรุง' ยังไม่เทใจเลือกนายกฯ กระแส 'เท้ง' นำ 'หนู' มาร์คยังกู่ไม่กลับ
โพลสะท้อน “กระแสการเมือง กรุงเทพมหานคร” ยังไม่มีนายกฯ – พรรคการเมืองที่เหมาะสมเทใจเลือกตั้งให้ ขณะที่พรรคประชาชนกระแสคนกรุงหนุน ตามมาด้วยภูมิใจไทย –ประชาธิปัตย์
สถานการณ์แรงงานข้ามชาติปี 2568 จับตาพรรคการเมืองปั่นกระแส บิดเบือนข้อมูลเพื่อโจมตีทางการเมือง
เข้าสู่ช่วงนับถอยหลังกำลังจะผ่านพ้นไปแล้วสำหรับปี 2568 หลายภาคส่วนมีการวิเคราะห์-สรุปสถานการณ์ในด้าน”การเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม-สิ่งแวดล้อม-เทคโนโลยี
ดร.ณัฏฐ์ ชี้ชัดบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เกิดรัฐบาลผสม ไม่มีพรรคใดชนะเบ็ดเสร็จ
“ดร.ณัฏฐ์” ชี้ระบบ “บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ” เกิดรัฐบาลผสม ไม่มีพรรคการเมืองใด ชนะเลือกตั้งเบ็ดเสร็จ เปิดตัวทีม “ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี” ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้
รทสช. ปลุกว่าที่ผู้สมัคร สส. ยึดความซื่อสัตย์ ต้องไม่ก้มหัวให้นายทุน
รทสช. ปลุกใจว่าที่ สส. ต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจประชาชน ยึดความซื่อสัตย์ ไม่ก้มหัวให้นายทุน-ระบบซื้อเสียง ตั้งเป้าฟื้นเศรษฐกิจฐานราก ปลดล็อกข้อพิพาทที่ดินให้เกษตรกร

