'ดร.สุวินัย'วิเคราะห์การเมือง 2 ขั้ว กับระบอบทักษิณที่ตายยาก และความเสื่อมของกลุ่ม 3 ป.

'ดร.สุวินัย' วิเคราะห์ถึงการแตกแยกทางความคิดครั้งใหญ่ในสังคมไทย กับระบอบทักษิณที่ตายยาก และความเสื่อมของกลุ่ม 3 ป. เตือนทุกคนไม่ว่าฝ่ายไหนก็ต้องปรับตัวและเตรียมรับมือกับอภิมหาโกลาหล

29 ต.ค.2564- ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาดังนี้ ว่า

Polarization กับระบอบทักษิณที่ตายยาก และความเสื่อมของกลุ่ม 3 ป.

อันที่จริงระบอบทักษิณจะยึดประเทศอยู่รอมร่อแล้ว แต่ผู้ที่มาตัดตอน ทั้งปี 2549 และ ปี 2557 คือ กองทัพ
ในสายตาของระบอบทักษิณ พวกเขามองว่า เหลือง หรือ กปปส. ไม่อยู่ในสายตา ถ้าหากไม่มีกองทัพเข้ามาขัดคาน

ดังนั้นระบอบทักษิณถือว่ากองทัพอย่างเดียว คือตัวขัดขว้างไม่ให้เขาเดินไปสู่เป้าหมายกินรวบประเทศได้
จึงไม่แปลกที่ทางนั้นวางยุทธศาสตร์ว่า ต้องจัดการกองทัพ ให้อยู่ และเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เพื่อกุมชัยชนะในการเลือกตั้งที่สามารถทุ่มเงินซื้อเสียงแต่ละเขตทางภาคอีสานได้

อันที่จริงกองทัพกลายเป็นศัตรูตัวเอ้ของระบอบทักษิณหลังปี 2553 ที่มีเผาเมืองเท่านั้น และชัดเจนกันทั้งสองฝ่ายหลังรัฐประหารปี 2557

แต่สมัยปี 2549 กองทัพยังไม่ได้มองระบอบทักษิณเป็นอันตราย
ส่วนพันธมิตรฯ กับกปปส. เป็นแค่เบี้ยในสายตาของชนชั้นนำทั้งสองฝ่าย
เพียงแต่ในบางสถานการณ์ เบี้ยกินขุนอีกฝ่ายได้เท่านั้นเองซึ่งเกิดขึ้นนานๆที

อันที่จริงพรรคพลังประชารัฐคือเครื่องมือหลักทางการเมืองของคสช.และกองทัพในการผลักดันความต่อเนื่องของการกระชับอำนาจ และแบ่งสรรปันส่วนอำนาจในโครงสร้างอำนาจกันใหม่ในยุค "หลังระบอบทักษิณที่ไร้ทักษิณ" ไม่ให้ตระกูลชินวัตรกินรวบประเทศคนเดียวเหมือนเมื่อก่อน

ในสูตรใหม่นี้ พวกเทคโนแครท ขุนนาง ทุนเก่า ทุนใหม่อื่นๆ และพวกนักการเมืองล้วนมีส่วนแบ่งในโครงสร้างอำนาจนี้ด้วย จึงไม่แปลกที่เราเห็น อดีตขี้ข้าระบอบทักษิณจำนวนไม่น้อยได้ย้ายมาเข้าพรรคพลังประชารัฐ
ส่วนภาคประชาชนถ้าอยากมีส่วนร่วมส่วนแบ่งในโครงสร้างอำนาจใหม่นี้ก็ต้องสร้างพรรคการเมืองอุดมการณ์เข้าไปแข่งขันตามกติกาใหม่ในรัฐธรรมนูญปี 2560 เท่านั้น

ถ้ามองตามความเป็นจริง ก็จะตาสว่างได้เองว่า "วาทกรรมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ" เป็นแค่มายาคติเท่านั้น จริงๆแล้วมันคือการจัดสรรแบ่งปันอำนาจกันในโครงสร้างอำนาจใหม่ยุคหลังระบอบทักษิณที่ไร้ทักษิณเท่านั้นเอง
........
เรามาทบทวนเรื่อง Polarization หรือการแตกแยกทางความคิดครั้งใหญ่ในสังคมไทยในช่วง 16 ปีที่ผ่านมากันดีกว่า

จริงๆแล้วสถานการณ์ที่บ้านเมืองแตกแยกทางความคิดและทางการเมืองออกเป็นสองขั้วอย่างรุนแรง เริ่มเห็นได้ชัดจริงๆในช่วงปลายปี 2548 (2005) จาก "ปรากฏการณ์สนธิ" ที่ขยายตัวดุจหิมะถล่มกลายเป็น การก่อตั้ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2549 (2006)

นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 (1992) ที่แกนนำปลุกระดมมวลชน(เสื้อเหลือง) แล้วจุดติด

เป็นที่น่าสังเกตว่า แกนนำในพันธมิตรฯ ส่วนใหญ่คือผู้มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านการสืบอำนาจของคณะทหารรสช.ก่อนเกิดพฤษภาทมิฬทั้งสิ้น ไม่ว่าจำลอง สนธิ สมศักดิ์ พิภพ

เป็นที่น่าสังเกตอีกอย่างว่า ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ใช้การถ่ายทอดผ่านทีวีดาวเทียมASTV เป็นอาวุธหลักในการปลุกระดมมวลชน

จนนำไปสู่ "ยุทธการเบี้ยกินขุน" ซึ่งยากจะเกิดขึ้นในการเมืองไทย

การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 น่าจะเรียกได้ว่าเกิดจากการฉวยโอกาสของผบ.ทบ.คนเดียว และทำรัฐประหารเพราะกลัวว่านายกฯทักษิณจะปลดตนเองเป็นแรงจูงใจหลัก

ผลกระทบจากรัฐประหาร 2549 ที่รุนแรงที่สุด คือ Polarization ในหมู่ปัญญาชนไทยทำให้เกิดการเลือกข้างคนละฝั่งของชนชั้นนำไทยที่ต่อสู้ยึดครองพื้นที่ในโครงสร้างอำนาจของเมืองไทย

จนกลายเป็นความขัดแย้งทางความคิดสองฝ่ายระหว่าง ราชาชาตินิยม กับ ลิเบอรัล (ที่หลายคนออก 'ร่าน' ซึ่งสะท้อนวุฒิภาวะและ EQ ของคนพวกนี้)

ในบริบทการต่อสู้ระหว่างชนชั้นนำที่เป็น เทคโนแครทและขุนนางกับทุนเก่า กับชนชั้นนำที่เป็นทุนใหม่สามานย์กับพวกนักการเมืองที่มาจากเจ้าพ่อท้องถิ่นและช่ำชองในกลไกเลือกตั้งกับมีฐานคะแนนเสียงในต่างจังหวัดแน่นหนา
การลุกขึ้นสู้ของมวลชนเสื้อหลวงต่อ"ระบอบทักษิณ"(อีกชื่อของเผด็จการรัฐสภา) ทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่ "เบี้ยจะกินขุน" ซึ่งเกิดขึ้นได้ยาก แต่เรื่องราวกลับจบแบบหักมุมด้วยการเกิดรัฐประหาร 2549 ที่นอกจากจะเสียของแล้ว ยังนำไปสู่ Polarization ที่ยากจะเยียวยาจนทุกวันนี้

สภาพ Polarization ที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยกอย่างหนักมีที่มาจากการต่อสู้ระหว่างชนชั้นนำสองฝ่ายโดยที่ฝ่ายหนึ่งต้องการกินรวบประเทศไทยผ่านการคอรัปชั่นเชิงนโยบายและการมอมเมามวลชนที่เป็นฐานเสียงของตนให้เสพติดนโยบายประชานิยมแบบสุดโต่ง

ขณะที่ชนชั้นนำเก่า เทคโนแครท ขุนนางและทุนเก่าเตรียมจะถอดใจยอมสวามิภักดิ์ "เจ้าคนใหม่" ที่โตมาจากทุนสัมปทานแล้วใช้กลไกการเลือกตั้ง กับฐานคะแนนเสียง และเครือข่ายทุนสามานย์และนักเลือกตั้ง เข้ายึดอำนาจรัฐอย่างชอบธรรมอยู่รอมร่อแล้ว .... ถ้าไม่เกิดการลุกขึ้นสู้ต่อต้านระบอบทักษิณของ "กลุ่มชาวบ้านบางระจันยุคดิจิตัล" แบบ "ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง"

การผุดขึ้นมาของพันธมิตรและมวลชนเสื้อเหลือง ที่เป็นเบี้ยทรงพลัง ใช้เงินซื้อไม่ได้ และกล้ากินขุน ... เป็นอะไรที่ชนชั้นนำเก่าก็ระแวงและไม่ไว้ใจ ถึงแม้ชนชั้นนำเก่าจะฉวยโอกาสตีกินช่วงชิงอำนาจคืนมาได้บางส่วนหลังรัฐประหารปี 2549 ก็ตาม

เราต้องทำความเข้าใจแบบนี้จึงสามารถเข้าใจความเป็นไปของบ้านเมืองหลังปี 2551 ได้

ในด้านหนึ่งรัฐบาลนอมินีของทักษิณกลับมาชนะเลือกตั้งได้ ไม่ใช่แค่นั้นทางนั้นยังจัดตั้งขบวนการมวลชนเสื้อแดงนปช. เลียนแบบพันธมิตรโดยใช้สื่อทีวีดาวเทียมเป็นอาวุธ ช่วงนี้แหละที่มีการสร้าง "วาทกรรมล้มเจ้า" ขึ้นมาโดยอดีตฝ่ายซ้ายและพวกคอมมิวนิสต์เก่าที่เข้ามาสวามิภักดิ์นายทุนสามานย์อย่างเต็มตัว

วิกฤตความแตกแยกบานปลายและเริ่มฝังรากลึกอย่างแยกไม่ออกจากการต่อสู้ระดับสงครามอำนาจแบบว่า "หากข้าไม่เป็นสุข พวกเอ็งก็ไม่มีวันสงบสุขได้หรอก" ... หน่ออ่อนของสงครามการเมืองเกิดขึ้นแล้วผ่านการปลุกระดมมวลชนด้วย hate speech

ในอีกด้านหนึ่ง พันธมิตรและมวลชนเสื้อเหลืองต้องลุกขึ้นมาสู้กับรัฐบาลนอมีนีอย่างเด็ดเดี่ยวแม้โดดเดี่ยวดุจสงครามครั้งสุดท้าย ถูกระเบิดสังหาร ทำให้พิการจาก 7 ตุลา 2551 (2008) แต่ก็ยืนหยัดไม่ย่อท้อ จนนำไปสู่ตุลาการภิวัฒน์ ในปลายปี 2551

สุดท้ายชนชั้นนำเก่าก็ยังฉวยโอกาสและฉวยประโยชน์จากการเสียสละของพันธมิตรเหมือนเดิม พวกเขาจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในค่ายทหาร

การลอบสังหาร "ขุนพลงักฮุย"อย่างสนธิที่เป็นแกนนำพันธมิตรแต่ล้มเหลวอย่างเหลือเชื่อเกิดขึ้นหลังจากนั้น ... หลังจากที่พวกชนชั้นนำเก่าประเมินแล้วว่าเอาอยู่ จึงจัดการทำสิ่งที่เรียกว่า
"เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล"

แต่ชนชั้นนำฝ่ายทุนสามานย์ไม่ยอมแพ้ เขาก่อ "กบฏ" ผ่านยุทธการเผาเมืองปี 2553 แม้จะไม่สำเร็จ แต่ก็บีบให้อีกฝ่ายยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่ได้

ผลของยุทธการเผาเมืองปี 2553 (2010) เกิดผลกระทบอย่างหนึ่งที่ฝ่ายทุนสามานย์คาดไม่ถึง คือ ดันไปปลุก เสือหลับอย่างกองทัพให้ตื่นและตาสว่าง และเริ่มมองว่าระบอบทักษิณเป็นภัยความมั่นคงจริงๆ

ปี 2554 (2011) รัฐบาลน้องสาวทักษิณชนะเลือกตั้งถล่มทลาย ผ่านการชูนโยบายประชานิยมสิ้นคิดอย่างโครงการจำนำข้าวและโครงการรถคันแรก

ตอนนี้แหละที่ชนชั้นกลางไทยที่ไม่ใช่มวลชนเสื้อเหลืองเริ่มทนไม่ได้ที่รัฐบาลหุ่นเชิดทักษิณจะนำพาประเทศให้ล่มสลายทางเศรษฐกิจแบบอาเจนติน่า เวเนซุเอล่า

น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 ที่เกิดจากการบริหารน้ำที่ผิดพลาดของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ยิ่งตอกย้ำความไม่พอใจของชนชั้นกลางไทยส่วนใหญ่

จนมาระเบิดในปลายปี 2556 (2013) จากเรื่องนิรโทษกรรมสุดซอย เกิดกปปส.ที่ยิ่งใหญ่กว่าพันธมิตรทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพแต่เด็ดเดี่ยวเหมือนกัน

ซึ่งนำไปสู่การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม ปี 2557 (2014) เพื่อยับยั้งสงครามกลางเมือง ทำให้มีความชอบธรรมกว่ารัฐประหารปี 2549 มาก

แต่ Polarization ยังไม่หมดไปและยากที่จะหมดไปง่ายๆ ตราบใดที่ฝ่ายหนึ่งยังคงปลุกระดมสร้างความเกลียดชังด้วยการบอกความจริงแค่ด้านเดียว

สถานการณ์ Polarization ซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อเกิดขุมพลังล้มเจ้าตัวจริงโผล่ขึ้นมาช่วงชิงฐานมวลชนที่เป็นคนรุ่นใหม่แข่งกับขุมพลังของตระกูลชินวัตร

ขณะที่กลุ่ม 3 ป. ที่โตมาจากกองทัพ และเป็น "ตาอยู่" จากการรัฐประหารปี 2557 เริ่มมีรอยร้าวและขาลอยจากกองทัพ

นักการเมืองจากระบอบทักษิณที่ย้ายมาสุมหัวในพรรคพลังประชารัฐแทนเริ่มประกาศศักดาและแข็งข้อกลายๆต่อกลุ่ม 3 ป.

ขณะที่กลุ่ม 3 ป.เองก็เริ่มนับถอยหลังทางการเมืองแล้วเช่นกัน
.....
ขณะนี้บริบททางเศรษฐกิจสังคมได้เปลี่ยนไปมากในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา

การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมที่สำคัญที่สุด คือการดิสรัปชั่นทางเทคโนโลยี ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับการผงาดขึ้นของยุคดาต้านิยม (Dataism) ตามมาด้วยวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ที่กระทบเศรษฐกิจทั่วโลกมาสองปีแล้ว
The Great Reset เริ่มต้นแล้ว !!

ชนชั้นนำไทยและคนไทยทุกคนไม่ว่าฝ่ายไหนก็ต้องปรับตัวและเตรียมรับมือกับอภิมหาโกลาหลที่จะเกิดขึ้นแน่ในอนาคตอันใกล้

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เทพไท' ผสมโรง! เอกสาร 'บิ๊กโจ๊ก' ประจาน ระบอบทักษิณ-ยุคคสช. องค์กรอิสระที่ไม่อิสระจริง

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช กองเชียร์พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กว่า จากระบอบทักษิณ ถึงยุค คสช. องค์กรอิสร

'แม้ว' หักหลังเสื้อแดง ฟันธงเลือกตั้ง 'เพื่อไทย' แพ้ 'ก้าวไกล'

ความพยายามของคุณทักษิณ ชินวัตร ที่ออกมาปฏิเสธภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยว่า ไม่ใช่พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ แต่เป็นพรรครีฟอร์มมาจากพรรคไทยรักไทย และพรรคพลัง

ดีลนายใหญ่! 'จักรภพ' นำร่องพาบริวารกลับบ้าน

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า จักรภพกลับไทย โครงการนำร่องของทักษิณ นำบริวารกลับบ้าน

คดีถึงที่สุด! อัยการสูงสุดไม่ยื่นฎีกา หลัง 2 ศาลยกฟ้องพันธมิตรฯปิดล้อมสภาปี 51

นายประยุทธ เพชรคุณ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า สำนักงานอัยการสูงสุดมีความคืบหน้าคดีสำคัญที่สังคมและสื่อมวลชนให้ความสนใจโดยเป็นคดีที่อัยการสูงสุดไม่รับรองให้ฎีกาคดีฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับพวก เป็นผลให้คดีถึงที่สุด