'อัษฎางค์' ตอก 'หมีแข ชาลีจัญ' ผู้วางรากฐานของนโยบายต่างประเทศของไทยคือ ร. 5 ไม่ใช่ 'ปรีดี'

การดำเนินโยบายระหว่างประเทศที่ผิดพลาดของ อ.ปรีดี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ที่หลงกลรัฐบาลอังกฤษ จนเกือบทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม

23 ส.ค.2565- นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ นักประวัติศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ว่า สอนประวัติศาสตร์การเมืองให้ “ชาลีจัญ”

หมีแข ชาลีจัญ เอาอีกแล้ว มาเข้าห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์การเมืองกันหน่อย อัษฎางค์ ยมนาค….จัดให้ ………………………………

บทที่ 1 ลัทธิอาณานิคม

หมีแข ชาลีจัญ :

ท่านปรีดีเป็นเสมือนผู้วางรากฐานของนโยบายต่างประเทศของไทย นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา ในช่วงนั้นประเทศไทยเพิ่งหลุดพ้นจากลัทธิอาณานิคม ซึ่งลัทธิอาณานิคมมีส่วนที่ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากการแบ่งทรัพยากร แบ่งอำนาจ แบ่งผลประโยชน์ต่างๆ ที่ไม่ลงตัว แต่หลังจากลัทธิอาณานิคมเริ่มหมดไปภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

อัษฎางค์ :

ผู้วางรากฐานโยบายต่างประเทศเป็นคนแรกคือ ร.5 และลัทธิอาณานิคม หมดพิษสงต่อไทยมาตั้งแต่หลังสมัย ร.5 แล้ว ด้วยฝีมือของ ร.5 และทีมงาน

ไม่ใช่ไทยเพิ่งหลุดพ้นจากลัทธิอาณานิคมในช่วงที่เปลี่ยนแปลงการปกครองหรอก ……………………………………………………………… บทที่ 2 ความเป็นกลางทางการเมือง(ระหว่างประเทศ)

หมีแข ชาลีจัญ :

นับจาก พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา นโยบายการต่างประเทศของไทยได้ถูกวางรากฐานโดยท่านปรีดี ซึ่งเราก็ยังดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ คือ “การวางตัวเป็นกลาง”

อัษฎางค์ :

นโยบาย”การวางเป็นกลาง”เริ่มขึ้นโดย รัชกาลที่ 5 โดยทรงเป็นพระมหากษัตริย์จากเอเชียพระองค์แรกที่เสด็จเยือนยุโรปถึง 2 ครั้ง เพื่อสร้าง Balance อำนาจของมหาอำนาจยุโรปเดิม ได่แก่ อังกฤษและฝรั่งเศส และอำนาจของมหาอำนาจใหม่ ได้แก่ เยอรมันและรัสเซีย

โดยไทยเราได้รัสเซีย สนับสนุนอย่างเต็มกำลัง

ซึ่งความสำเร็จนี้ ได้มาก็ด้วยพระวิจารณญาณที่กว้างไกล หรือที่สมัยนี้เรียกว่า การมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล กล่าวคือ ย้อนกลับไปสมัยที่รัชกาลที่ 5 ยังเป็นองค์รัชทายาท ยังไม่ได้ครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 5 มีข่าวว่า ซาร์นิโคลัส ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทจากรัสเซียมาสำรวจโลกโดยจะแล่นเรือผ่านสิงคโปร์ขึ้นไปญี่ปุ่น

เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทราบในทันที ด้วยพระปรีชาญาณว่านี่คือโอกาสทองที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศมหาอำนาจ

จึงทรงล็อบบี้ ทุกวิถีทางอย่างเต็มกำลัง เพื่อจะทูลเชิญให้ ซาร์นิโคลัส ซึ่งในขณะนั้นไม่ได้มีไทยในสายตา มาเยือนไทยให้จงได้

แล้วในที่สุดก็สำเร็จ เมื่อซาร์นิโคลัส เข้ามาไทย เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ก็ตอบรับ ผูกมิตร จนซาร์นิโคลัส ตกหลุมรักเมืองไทยและคนไทย จนกลายเป็นเพื่อนรักกับเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์

ต่อมาเมื่อซาร์นิโคลัสขึ้นครองราชย์ รัสเซียก็เป็นมหาอำนาจใหม่ของยุโรปแล้ว

เมื่อเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5 เมืองไทยก็ตกอยู่ในช่วงที่ลัทธิล่าอาณานิคมกำลังมีความรุนแรงที่สุด ไทยโดนอังกฤษและฝรั่งเศส ขนาบข้าง รอการแบ่งไทยออกเป็นเค้ก 2 ก้อน

ในที่สุด รัชกาลที่ 5 ก็เสด็จเยือนยุโรป เพื่อสร้าง Balance ทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นข่าวฮือฮาขึ้นหน้าหนึ่งในสื่อทุกค่ายทั่วยุโรปอยู่ตลอดช่วงเวลาที่เสด็จพระราชดำเนินในประเทศต่างๆ ในยุโรป

ความสำเร็จที่วัดได้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน เรื่องแรกคือ สื่อยุโรป ยกย่องว่าพระองค์ท่านเป็นหนึ่งในผู้นำที่มีอิทธิพลสูงสุดในโลก เคียงข้างพระมหากษัตริย์ของยุโรป โดยประเทศจากเอเชียที่ได้รับการยกย่องนี้มีเพียง ไทยและญี่ปุ่น เท่านั้น

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เรื่องที่ 2 คือ ทรงสามารถ Balance อำนาจของมหาอำนาจยุโรปได้สำเร็จ ด้วย”นโยบายความเป็นกลางทางการเมือง” ซึ่งนำมาสู่การที่ไทย ไม่ตกเป็นอาณานิคมขิงชาติมหาอำนาจใดๆ เลย

ทำให้ไทย(แทบจะเป็นเพียงไม่กี่ชาติในโลก)ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของฝรั่ง

หมีแข ชาลีจัญ อย่าทำตัวเป็นยูเคลมโบเดีย

นโยบายความเป็นกลางทางการเมืองในระดับกิจการระหว่างประเทศ ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงเป็นผู้ริเริ่มและดำเนินนโยบายนี้จนประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด

กลับไปเรียนมาใหม่ ……………………………………………………………… บทที่ 3ใครกันแน่ทำให้ไทยไม่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2

หมีแข ชาลีจัญ :

การประกาศวันสันติภาพเมื่อ 77 ปีที่แล้ว เป็นเรื่องการต่างประเทศ เพราะตอนนั้นประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ่งที่อาจารย์ปรีดีได้ทำเมื่อ 77 ปีที่แล้วส่งผลอย่างมาก แม้ว่าจะมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาคอยช่วย

อัษฎางค์ :

ที่อเมริกามาช่วย เพราะเสรีไทยสายอเมริกา ที่มี ม.ร.ว.

เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้า และเป็นฝีมือของ ม.ร.ว.

เสนีย์ ปราโมช ล้วนๆ ที่เป็นคนวิ่งเต้นในอเมริกายื่นมือมาช่วย

ส่วนทางอังกฤษที่มีปรีดีเป็นหัวหน้านั้น อังกฤษไม่เห็นหัวปรีดีเลย เพราะหลังจบสงคราม อังกฤษไม่ยอมรับว่าไทยเป็นฝ่ายชนะ และตั้งท่าแต่จะเข้ายึดเมืองไทย

ที่อเมริกาเข้ามาช่วยไทยในครั้งนั้น เป็นฝีมือ อ.เสนีย์ ล้วนๆ ไม่มี อ.ปรีดีมาเกี่ยวแล้ว อย่าทำตัวเป็นยูเคลมโบเดีย เพจ”ฤา” ระบุว่า

ผลจากยุทธการทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มฮิโระชิมะและนะงะซะกิ ทำให้ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามทันที ในวันที่ 15 สิงหาคม 2488 และถือเป็นการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2

หลังจากนั้น 1 วัน นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ออกประกาศว่า “การประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา” ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. ถือเป็นโมฆะ จนกลายเป็นที่มาของ วันสันติภาพไทย (16 สิงหาคม ของทุกปี)

แต่…การลงนามประกาศสันติภาพครั้งนั้น เป็นการอ้างความสิ้นสุดสถานะสงครามของท่านปรีดีเพียงฝ่ายเดียว โดยที่ชาติฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ได้ยอมรับด้วย

[อัษฎางค์]“จุดนี่แหละ ที่ฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ชอบเอามาเคลม ทำตัวเป็นยูเคลมโบเดีย ว่าปรีดีทำให้ไทยกลายเป็นฝ่ายชนะสงคราม ทั้งที่ความจริงคือ ….”

เพจ”ฤา”ระบุต่อไปว่า

หากเกิดการลงนามในวันที่ 16 สิงหาคม ตามที่อังกฤษพยายามเร่งรัดให้รัฐบาลนายปรีดีดำเนินการ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ไทยจะถูกยุบกองทัพ และต้องยอมให้อังกฤษเข้ามาควบคุมสื่อและใช้สอยทรัพยากรต่างๆ ตามแต่อังกฤษจะเรียกร้อง ซึ่งนี่ไม่ต่างอะไรกับสัญญาทาสที่ไทยจะเสียเปรียบอังกฤษทุกประตู

[อัษฎางค์] อ.ปรีดี หลงกล อังกฤษ โดยไม่รู้ตัว

เพจ“ฤา”ระบุต่อไปว่า

ย้อนกลับไปตั้งแต่ต้น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช คือผู้มีบทบาทอย่างมากในการจัดตั้งขบวนการเสรีไทย นับตั้งแต่วินาทีแรกที่รัฐบาลจอมพล ป. ได้ประกาศสงครามกับอเมริกา ตลอดจนเป็นผู้ดำเนินการติดต่อกับคนไทยในอังกฤษจนกระทั่งรวมตัวกันขึ้นเป็นขบวนการเสรีไทย และประสานติดต่อจนสามารถสร้างเครือข่ายเสรีไทยในประเทศไทยจนสำเร็จ

ด้วยเหตุนี้ทำให้อังกฤษมองว่า อเมริกาอาจมีทีท่ายอมรับและไม่มองไทยในฐานะประเทศผู้แพ้สงคราม อีกทั้งบทบาทของ ม.ร.ว.เสนีย์ อาจส่งผลให้อเมริกาเข้ามามีอิทธิพลในไทยแทนอังกฤษ ดังนั้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่อังกฤษพยายามที่จะให้ไทยยอมรับข้อตกลงเลิกสถานะสงครามโดยเร็ว

ม.ร.ว.เสนีย์ ได้วิ่งเต้นให้อเมริกาเข้ามาเป็นคนกลางคานอำนาจอังกฤษ จนทำให้การลงนามข้อตกลงยกเลิกสถานะสงครามเลื่อนมาเป็น วันที่ 1 มกราคม 2489 และทำให้ประเทศไทยยังคงรักษาเอกราชสมบูรณ์เอาไว้ได้

จนถึงขนาดนายปรีดีฯ ยังเอ่ยปากชมว่า … “นี่ขอขอบใจอเมริกาอย่างที่สุด ไม่รู้จะหาทางใดขอบใจ”

[อัษฎางค์] ถ้าหากศึกษาประวัติศาสตร์จริง จะได้รับความจริง ว่าพระเอกตัวจริงเสียงจริงในเรื่องเสรีไทย ที่ช่วยให้ไทยไม่ผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ใช่ อ.ปรีดี แต่เป็น อ.เสนีย์ ปราโมช โดยมี อ.ปรีดี เป็นผู้สนับสนุน ………………………………………………………………… ยิ่งไปกว่านั้น, ยังมีเรื่องราวของ รัชกาลที่ 8 ที่โลกลืมไปอีกด้วย

ก่อนจะเข้าเรื่องของในหลวงรัชกาลที่ 8 ที่โลกลืม ผมขอเล่าประวัติศาสตร์ของอิตาลี ซึ่งจะเป็นตัวอย่างของคำตอบว่า”มีสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ทำไม”

ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 มุสโสลินี จัดตั้งกลุ่ม”คนเสื้อดำ” ซึ่งในเวลาต่อมากลายมาเป็นต้นแบบให้กับพรรคนาซีในช่วงต้น กลยุทธ์ที่ทำให้ของคนเสื้อดำมีอำนาจทางการเมืองขึ้นมาคือ “ใครเห็นต่าง จะถูกทำลาย” (คุ้นๆ มั้ยกับกลยุทธ์นี้)

จากกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง ยกระดับกลายเป็นพรรคการเมือง (คุ้นๆ มั้ยกับพรรคส้มเน่าของไทย) แล้ว มุสโสลินี ก็แทรกตัวเข้าไปเป็นนักการเมือง และตัวเขาประสบผลสำเร็จจนโด่งดัง ด้วยการลอกเลียนแบบพฤติกรรมความเก่งกาจมาจากบทบาทจากตัวละครในภาพยนตร์อิตาลี (คล้ายๆ ผู้นำของยูเครน ที่เป็นอดีตพระเอกหนัง จนคนเชื่อว่าเก่งเหมือนตัวละคร มั้ยละ)

ด้วยลีลาการหาเสียงที่ถึงลูกถึงคน เช่น ถอดเสื้อเกี่ยวข้าวกับชาวนา (คุ้นๆ มั้ย มีนักการเมืองไทยสายส้มและแดงจำแลง หาเสียงแบบถึงลูกถึงคนมั้ยละ)

ต่อมาได้ปลุกระดมคนขึ้นโค่นอำนาจรัฐบาล ซึ่งกลายมาเป็นต้นแบบให้ฮิตเลอร์ในเวลาต่อมา ฮิตเลอร์ มอง มุสโสลินี ว่าเป็นต้นแบบ และมองว่าอิตาลีมีกองทัพที่ยิ่งใหญ่ จึงต้องการให้อิตาลีเป็นพันธมิตรเพื่อก่อการใหญ่

1 กันยายน 1939 ฮิตเลอร์เปิดฉายสงครามด้วยการบุกโปแลนด์ ในขณะที่มุสโสลินีและอิตาลีไม่รู้ตัวและไม่ได้มีความพร้อมในการทำสงคราม แต่มุสโสลินีกลัวเสียฟอร์ม จึงกระโจนลงในสงครามด้วย สุดท้ายจบลงด้วยการแพ้ยับเยิน เยอรมันแพ้สงคราม ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามและสูญเสียอิสรภาพ เพราะเยอรมันมี ฮิตเลอร์ เป็นทั้งผู้นำรัฐบาลและประมุขแห่งรัฐในขณะที่อิตาลีรอดพ้นหายนะ

เพราะอะไร ?

เพราะ…อิตาลีมีมุสโสลินีเป็นผู้นำรัฐบาล แต่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ

เมื่อกองทัพของอิตาลีแพ้ เหล่าข้าราชการก็เสนอให้พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ปลดมุสโสลินีและนำไปดำเนินคดี และประกาศย้ายข้างมาเป็นพวกเดียวกับสัมพันธมิตร ที่มีอเมริกาและอังกฤษเป็นแกนนำ ทำให้อิตาลีรอดพ้นการเป็นผู้แพ้สงคราม

เยอรมันมีฮิตเลอร์ เป็นทั้งผู้นำรัฐบาลและประมุขแห่งรัฐ จบเห่ไปทันที

แต่อิตาลีไม่ได้มีแค่หัวหน้ารัฐบาล ที่อาจดำเนินนโยบายผิดพลาด แต่อิตาลีมีก๊อก 2 คือยังมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ

“นี่คือหนึ่งในคำตอบว่า มีสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ทำไม” ………………………………………………………………… กลับมาเข้าเรื่อง,

ในหลวงรัชกาลที่ 8 ที่โลกลืมไปอีกด้วย กับคำตอบว่า”มีสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ทำไม”

เพจ”ฤา”ระบุ

เหตุการณ์สำคัญในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2489 Lord Louis Mountbatten ผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรแห่งกองบัญชาการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีความพยายามที่จะจัดพิธีสวนสนามทหารสหประชาชาติขึ้นในประเทศไทย นัยว่าเป็นการประกาศและเฉลิมฉลองในการเข้ายึดครองดินแดนในอารักษา ซึ่งถือเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีของประเทศไทยให้กลายเป็นประหนึ่งประเทศผู้แพ้สงคราม ทั้งๆ ที่อังกฤษเพิ่งยอมรับการยกเลิกสถานะคู่สงครามกับประเทศไทยไปหมาดๆ

แต่ด้วยพระอัจฉริยภาพของในหลวงรัชกาลที่ 8 พระองค์ได้แสดงพระราชประสงค์ที่จะเข้าร่วมพิธีสวนสนามด้วย ซึ่งส่งผลให้ Lord Louis Mountbatten ที่แม้จะมีฐานะเป็นอุปราชแห่งอินเดีย หรือเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ก็มีสถานภาพที่ต่ำกว่าพระประมุขของรัฐ ดังนั้น ในพิธีสวนสนาม ในฐานะที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 มีพระสถานะที่สูงที่สุด พระองค์จึงทรงเป็นประธานในพิธี ประทับอยู่บนพระแท่นตรวจพลสวนสนามรับการแสดงความเคารพจากเหล่าทหาร แทนที่จะเป็น Lord Louis Mountbatten ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สถานภาพของไทยและอังกฤษกลายเป็นประเทศที่มีความทัดเทียมกัน

[อัษฎางค์] การดำเนินโยบายระหว่างประเทศที่ผิดพลาดของ อ.ปรีดี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ที่หลงกลรัฐบาลอังกฤษ จนเกือบทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม

พลิกกลับมากลายเป็นประเทศพันธมิตรของประเทศผู้ชนะสงคราม เพราะประเทศไทยไม่ได้มีแค่หัวหน้ารัฐบาล ที่อาจดำเนินนโยบายผิดพลาด แต่เรายีงมีก๊อก 2 คือเรายังมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ

เหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับอิตาลีไม่ผิดเพี้ยน ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ช่วยพลิกสถานการณ์จากผู้แพ้ให้กลายเป็นผู้ชนะ

“นี่คือหนึ่งในคำตอบว่า มีสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ทำไม” ………………………………………………………………… กลับไปเรียนมาใหม่ สอบติดเป็นข้าราชการ และไต่เต้ามาเป็นยมทูต ได้ยังไงฟ่ะ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ไอซ์' เดือด! ถอนหงอก 'ทูตนอกแถว' ปม 'ลิซ่า' ลงช่วยหาดใหญ่หรือทำคอนเทนต์

“ไอซ์ รักชนก” โดดป้อง “ลิซ่า” หลังถูกหาว่าช่วยน้ำท่วมไม่จริง ซัด เดือด “รัศม์ ชาลีจันทร์” สมชื่อ “ทูตนอกแถว” มองข้ามวิกฤตหาดใหญ่ แต่กลับจับผิดผู้หญิงตัวเล็กที่ลุยน้ำช่วยชาวบ้านทั้งสัปดาห์

อัษฎางค์ ชี้สหรัฐใช้อำนาจเหนือความยุติธรรม ใช้การค้ากดดันไทย

นายอัษฎางค์ ยมนาค อินฟลูเอนเซอร์การเมืองชื่อดังฝ่ายอนุรักษ์นิยม โพสต์เฟซบุ๊กเผยแพร่บทความเรื่อง “วันนี้ผมหยุดสงครามไม่ได้ด้วยกำแพงภาษี” นี่คือจิตวิญญาณของนโยบาย “American first”

'อัษฎางค์' ลากไส้ส.ส.ส้ม กี่ครั้งแล้วที่ทำสิ่งที่ผิดจริยธรรมทางการเมือง

เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความว่า  กี่ครั้งแล้วที่พรรคประชาชนทำสิ่งที่ผิดจริยธรรมทางการเมืองเช่นนี้

‘ทูตนอกแถว’ ตั้งข้อสังเกต ความขัดแย้งไทย-เขมร อาจไม่ใช่แค่เรื่องเขตแดน

ผู้ช่วย รมต.ต่างประเทศ ข้อสังเกตถึงความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อาจมีเบื้องหลังซ่อนเร้นมากกว่าเรื่องแผนที่ ชี้คลิปเสียง-คำขู่ ล้วนโยงเกมโค่นรัฐบาล มากกว่าพิพาทดินแดน ซัดต้อง “มีสติ” อย่าปล่อยให้ งูพิษกัดซ้ำยามเผลอ

'อัษฎางค์' วิเคราะห์คำสั่งศาลฎีกานัดไต่สวนทักษิณ สะท้อนภาวะตื่นตัวของตุลาการ

นายอัษฎางค์ ยมนาค อินฟลูเอนเซอร์การเมืองชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กเผยแพร่บทความเรื่อง "ทักษิณ ชินวัตร กับ มายาคติแห่งความยุติธรรม" มีเนื้อหาดังนี้