
‘สนธิญา’ ร้อง กกต. ฟัน ‘สมชัย-วีระ’ ใส่ร้ายด้วยความเท็จหรือไม่ ปมประชุมใหญ่ รทสช. เหตุแค้น ‘บิ๊กตู่’ ชี้ผิดโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 1 แสน หากเสรีรวมไทยรู้เห็นถึงขั้นยุบพรรค
23 ม.ค. 2566 – ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อตรวจสอบกรณีที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบาย และนายวีระ สมความคิด ประธานยุทธศาสตร์ด้านการต่อต้านคอร์รัปชันของพรรคเสรีรวมไทย และพรรคเสรีรวมไทย ยื่นให้ตรวจสอบ 5 ประเด็น เกี่ยวกับการประชุมใหญ่ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2566 ว่า เป็นการกระทำใส่ร้ายด้วยความเท็จทำให้เกิดความเสียหาย เข้าข่ายผิดมาตรา 101 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่ เนื่องจากเห็นว่าในประเด็นที่นายสมชัย และนายวีระ กล่าวหาว่าการประชุมในวันดังกล่าวได้มีการขนคนมาร่วมประชุมอาจผิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญนั้น เห็นว่ารัฐธรรมนูญให้สิทธิบุคคลในการรวมกลุ่มทำอะไรก็ได้ รวมถึงจัดตั้งพรรคการเมือง ซึ่งการบอกว่าการขนคนมีการให้ทรัพย์สิน เข้าข่ายจูงใจ จึงต้องให้ กกต. ตีความว่ากรรมการบริหารพรรคมีส่วนรับรู้หรือไม่
ส่วนการแจกหมวก แจกเสื้อนั้น ตนเห็นว่าในการประชุมดังกล่าว พรรคได้มีการเขียนไว้ชัดเจนว่าเป็นทรัพย์สินของพรรค ดังนั้นใครที่จะนำมาแจกจ่ายต้องพึงระวัง ในวันนั้นเป็นการประชุมใหญ่ของพรรคมีการรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นสมาชิกพรรค ซึ่งพรรคต้องการความสวยงาม จึงมีการแจกเสื้อ และหมวกให้กับผู้ที่มาร่วมงาน เพราะต้องการสื่อให้ประชาชนทั้งประเทศรับรู้ เมื่อถึงเวลาจะเดินทางกลับหากมีการคืนสิ่งเหล่านั้นให้กับพรรคก็ไม่มีปัญหา สำหรับการปราศรัยของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ตนไม่ก้าวล่วง เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อยากให้ กกต. พิจารณาว่าสิ่งที่นายไตรรงค์ ถูกกล่าวหาจากนายสมชัย จริงหรือไม่อย่างไร
นายสนธิญา กล่าวว่า การที่นายสมชายอ้างว่ามีการเชิญนักร้องมาร้องเพลงช่วงพักการประชุมของพรรค เข้าข่ายจัดมหรสพนั้น ตนเคยสอบถาม กกต.หลายคน ได้รับคำยืนยันว่าก่อนที่ผู้สมัครและพรรคการเมืองจะได้เบอร์ที่จะใช้หาเสียง การแห่กลองยาว ไม่ถือว่าเป็นความผิด แต่ถ้าได้เบอร์ แห่ออกมามีสิทธิที่จะรับใบแดง ดังนั้นการที่นักร้องขึ้นมาร้องเพลง ก็ต้องให้ กกต. วินิจฉัยว่าเป็นการจัดมหรสพหรือไม่ นอกจากนี้ที่กล่าวหาว่าในการประชุมใหญ่ไม่มีการเซ็นชื่อของผู้เข้าร่วมประชุม เห็นว่าไม่ว่าจะมีการเซ็นหรือไม่ ไม่จำเป็นจะต้องรายงานใครให้ทราบ ยกเว้นรายงานให้ กกต. ทราบเท่านั้น ซึ่งในวันที่มีการจัดงานพรรคได้มีการเชิญ กกต. ส่วนหนึ่งไปร่วมสังเกตการณ์อยู่แล้ว
“สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเชื่อว่านายสมชัย ได้นำความรู้สึกโกรธ เกลียดชัง ไม่ชอบ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นการส่วนตัว เนื่องจากเมื่อปี 2561 พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. ซึ่งสร้างความโกรธเคียง โกรธแค้น ให้กับนายสมชัย มาเป็นลำดับ” นายสนธิญา ระบุ
นายสนธิญา ยังยกตัวอย่างการกระทำของนายสมชัย ที่เห็นว่าเข้าข่ายโกรธแค้นเกลียดชัง พล.อ.ประยุทธ์ ว่า เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2565 นายสมชัยโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ไม่ถึงสิ้นเดือน ก.พ. 2565 ซึ่งตนได้เข้าไปตอบโต้ว่าถ้าหากรัฐบาลอยู่เกินกว่าระยะเวลาที่ระบุ นายสมชายพร้อมที่จะยุติการต่อว่ารัฐบาลหรือไม่ แล้วถ้าหากรัฐบาลอยู่ไม่ถึงสิ้นเดือน ก.พ.จริง ตนก็พร้อมจะยุติการเคลื่อนไหวทางการเมืองเช่นกัน แต่ปรากฏว่านายสมชัยไม่ได้รับคำท้าและยังมีการบล็อกเฟซบุ๊กส่วนตัวของตน และการยุบสภาก็ไม่ได้เกิดขึ้นตามที่นายสมชัยได้ระบุไว้
นอกจากนี้ประมาณเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2565 นายสมชัย ได้โพสต์ข้อความระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะทำให้พรรค รทสช. ถูกยุบ เพราะท่านได้กล่าวว่าจะเป็นแคนดิเดนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวของพรรค ซึ่งก็ไม่จริงเพราะขณะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค และแม้ขณะนี้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นสมาชิกพรรคแล้ว ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และพรรครทสช.ก็ยังไม่ได้มีการประกาศว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพียงคนเดียว การวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ของนายสมชัย เกี่ยวกับ พล.อ.ประยุทธ์ สร้างความเคลือบแคลงให้สังคมเกิดความสงสัย ซึ่งไม่ทราบว่าทั้งนายสมชาย และนายวีระ กระทำในนามบุคคลหรือในนามพรรค
“จึงอยากให้ กกต. ตรวจสอบ หากพบว่าเป็นความผิดส่วนบุคคล มาตรา 101 กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส่วนถ้าพบว่าพรรครู้เห็นเกี่ยวข้อง กกต. จะต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค” นายสนธิญา ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่นายสนธิญายื่นคำร้อง ได้มีการแจ้งผู้สื่อข่าวว่านายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้ อีสาน อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะมาร่วมยื่นคำร้องดังกล่าวต่อ กกต. แต่พบว่ามีเพียงนายสนธิญามายื่นคำร้องเพียงคนเดียว และอ้างว่านายเสกสกล ตั้งใจมายื่นคำร้องด้วยตนเอง แต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาระบุว่าติดภารกิจสำคัญไม่สามารถเดินทางมาได้ โดยนายเสกสกลระบุว่าหาก กกต. เรียกเข้ามาให้ข้อมูลก็พร้อมที่จะนำเอกสารหลักฐานมาชี้แจงว่า รทสช. ไม่ได้มีการกระทำอย่างที่นายสมชัยกล่าวหา.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อภิสิทธิ์' ลั่น ปชป.พร้อมคัดสรรบุคคลลงเลือกตั้ง
'อภิสิทธิ์' เผย 'ปชป.' พร้อมคัดสรรบุคคลลงเลือกตั้ง สั่ง 'รองหัวหน้าพรรค' เตรียมการ หลัง 'กกต.' ประกาศเขตเลือกตั้งใหม่ จนนครศรีธรรมราชหาย 1 เขต
สส.บริจาคภัยพิบัติเต็มที่ ท้องถิ่นระวังช่วง180วัน!
กกต.ไฟเขียวบริจาคช่วยภัยพิบัติ สส.-สมาชิกพรรค ทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท
กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด
กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก
กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ
กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้
เปิด 3 ทฤษฎี! 'นายกฯหนู' ยุบสภาหลังโหวตวาระ 3 แก้รธน.
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้ความผ่านเฟซบุ๊กว่า Game of Thrones การเมืองไทย
กกต. ขอเชิญชวนสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2568
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ระหว่างวันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และเตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการ ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 1.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 1.2 ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้ง ในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 1.4 วุฒิการศึกษา • สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษา • ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา 2. ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.1 ติดยาเสพติดให้โทษ 2.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 2.3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 2.4 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 39 (1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรือ (4) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.5 อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.6 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล 2.7 เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.8 เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต ต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 2.9 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็น ของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.10 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน 2.11 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง 2.12 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ 2.13 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ 2.15 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2.16 อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2.17 เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.18 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือ ต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี 2.19 เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 2.20 อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.21 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น 2.22 เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมี ส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทน หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.23 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.24 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่ และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.25 ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3. หลักฐานและเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมทั้งหลักฐานการสมัคร ดังนี้ 3.1 ใบสมัครรับเลือกตั้งตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/1 3.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก หรือ รูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร จำนวนตามที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 3.4 สำเนาทะเบียนบ้าน 3.5 ใบรับรองแพทย์ 3.6 หลักฐานการศึกษา 3.7 หลักฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี (2565, 2566, 2567) นับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้ทำหนังสือยืนยัน การไม่ได้เสียภาษี พร้อมทั้งสาเหตุแห่งการไม่ได้เสียภาษีตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/2 4. ค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง 4.1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2,500 บาท 4.2 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 1,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือ Application Smart Vote หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการสายด่วน 1444

