กสม. แนะแก้ปัญหาความเป็นอยู่ผู้ถูกควบคุมตัวของรัฐ ให้สอดคล้องหลักสิทธิมนุษยชน

กสม. เผยผลตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวของรัฐ แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาสภาพความเป็นอยู่ของผู้ถูกควบคุมตัวให้สอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชน

26 เม.ย.2567 - นายบุญเกื้อ สมนึก ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ดำเนินโครงการตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวซึ่งเป็นสถานที่เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพื่อส่งเสริมให้การปฏิบัติต่อผู้ถูกควบคุมตัวเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตาม โดยตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 - มิถุนายน 2566 คณะผู้ตรวจเยี่ยมของ กสม. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวจำนวน 16 แห่ง ประกอบด้วยเรือนจำ ห้องกักสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน สถานที่คุ้มครองกลุ่มคนเปราะบาง และศูนย์ซักถาม/ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้รับทราบข้อเท็จจริง สภาพปัญหา อันสมควรมีข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ 8 ประเด็น ดังนี้

1) ปัญหาความแออัดของสถานที่ควบคุมตัว และสภาพสถานที่ควบคุมตัวไม่เหมาะสม เรือนนอนของสถานที่ควบคุมตัวมีขนาดพื้นที่น้อยกว่ามาตรฐานสากลขององค์การสหประชาชาติ ส่งผลต่อสภาพความเป็นอยู่และระบบการบริหารจัดการสถานที่ควบคุมตัว เช่น ความเครียดของผู้ถูกควบคุมตัวและเจ้าหน้าที่ การเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ไม่เพียงพอ และการขาดสุขอนามัยในสถานที่ควบคุมตัว ซึ่ง กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้สถานที่ควบคุมตัวโดยเฉพาะเรือนจำมีสภาพแออัดมาจากการใช้โทษทางอาญามากเกินความจำเป็น ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายที่มีโทษทางอาญามากกว่า 400 ฉบับ จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะให้รัฐสภาพิจารณาใช้นโยบายลดทอนความเป็นอาชญากรรม (Decriminalization) สำหรับความผิดบางประเภท เช่น ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ความผิดฐานหมิ่นประมาท ความผิดเกี่ยวกับเช็ค ไม่ตรากฎหมายใหม่ที่มีโทษทางอาญาโดยไม่จำเป็นและไม่ได้สัดส่วน พิจารณาความผิดลหุโทษที่มีโทษปรับสถานเดียวและมีเนื้อหาความผิดเพียงเล็กน้อยให้อยู่ในบัญชีท้ายกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย เพื่อเปลี่ยนความผิดลหุโทษที่มีโทษปรับสถานเดียวให้เป็นความผิดทางพินัย และให้ถืออัตราค่าปรับความผิดลหุโทษเป็นอัตราค่าปรับทางพินัยแทน รวมทั้งให้ควบคุมตัวผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ ทั้งนี้ ตามมาตรา 89/1 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

นอกจากนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เร่งรัดการก่อสร้างสถานที่ควบคุมตัวแห่งใหม่ในพื้นที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อเพิ่มพื้นที่ควบคุมผู้ต้องกักตามมาตรฐานสากล รวมทั้งให้กรมราชทัณฑ์ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ตร. และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดสรรงบประมาณในการปรับปรุงสถานที่ควบคุมตัวให้ถูกสุขอนามัย มีระบบระบายอากาศ และแสงสว่างเพียงพอด้วย

2) ปัญหาการบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข มีจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอต่อการให้บริการผู้ถูกควบคุมตัว ต้องรอพบแพทย์เป็นเวลานานและเรือนจำมีการบังคับตรวจเชื้อเอชไอวีผู้ต้องขังเข้าใหม่ จึงมีข้อเสนอแนะให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเพิ่มจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่สามารถรักษาพยาบาลผู้ต้องขัง และผู้ต้องกักให้ครอบคลุมทั้งกลางวันและกลางคืน และเพิ่มบุคลากรทางด้านสาธารณสุขที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้ต้องขังและผู้ต้องกักที่มีปัญหาสุขภาพจิต เพื่อให้ผู้ถูกควบคุมตัวทุกคนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน และให้กรมราชทัณฑ์ยกเลิกการบังคับตรวจเชื้อไวรัสเอชไอวีผู้ต้องขังเข้าใหม่ สนับสนุนให้มีการตรวจเชื้อไวรัสเอชไอวีโดยสมัครใจ และไม่เปิดเผยชื่อผู้ต้องขังผู้ถูกตรวจ

3) ปัญหาการกักตัวโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาในสถานที่ควบคุมตัวโดยเฉพาะห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งมีการกักตัวผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ และชาวโรฮีนจา โดยไม่กำหนดระยะเวลาการปล่อยตัวที่ชัดเจน จึงมีข้อเสนอแนะให้ ครม. มีนโยบายเร่งรัดให้ผู้ต้องกักเข้าถึงกลไกคัดกรองระดับชาติ (National Screening Mechanism) เพื่อให้สถานะ “ผู้ได้รับการคุ้มครอง” โดยไม่เลือกปฏิบัติ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักร และไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ ต้องจัดทำทะเบียนประวัติคนต่างด้าวและอนุญาตให้ออกไปทำงานได้โดยจำกัดพื้นที่ ตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงเร่งขยายความร่วมมือกับประเทศที่สามเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนให้แก่ผู้หนีภัยกลุ่มต่าง ๆ ตามที่ประเทศไทยเคยให้คำมั่นไว้ในการประชุมเวทีผู้ลี้ภัยโลก (Global Refugee Forum: GRF) ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนธันวาคม 2566

4) ปัญหาการกักตัวเด็กในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองซึ่งมีสภาพแออัด ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางด้านร่างกาย สติปัญญา จิตใจ และสังคมของเด็ก จึงมีข้อเสนอแนะให้ ครม. เร่งทบทวนและปรับปรุงการใช้มาตรการทางเลือกแทนการกักตัวเด็กและครอบครัวในห้องกักตรวจคนเข้าเมือง นอกจากนี้ให้ ตร. จัดอบรม ติดตามผล และกำกับดูแลเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินงานตามหลักปฏิบัติว่าเด็กจะต้องไม่ถูกกักตัว เว้นแต่เป็นมาตรการสุดท้าย และใช้เวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

5) ปัญหาบุคลากรไม่เพียงพอ สถานที่ควบคุมตัวส่วนใหญ่ประสบปัญหาเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานน้อยกว่าอัตรากำลังจริง เจ้าหน้าที่ขาดความเชี่ยวชาญและความต่อเนื่องในการปฏิบัติหน้าที่ จึงมีข้อเสนอแนะให้ ครม. พิจารณาเพิ่มอัตรากำลังให้เพียงพอต่อปริมาณงานของสถานที่ควบคุมตัว โดยพิจารณาถึงความรู้ความเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่ประกอบด้วย และพิจารณาหามาตรการที่สร้างขวัญและกำลังใจแก่บุคลากรที่ปฏิบัติงานในสถานที่ควบคุมตัว เช่น การกำหนดเวลาการทำงานที่เหมาะสม การกำหนดอัตราค่าตอบแทนที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน และการจัดสวัสดิการ เป็นต้น

6) ปัญหางบประมาณไม่เพียงพอ เช่น ค่าอาหาร งบประมาณในการจัดซื้อกล้องวงจรปิด การจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเวรรักษาการล่าช้า โดยมีข้อเสนอแนะให้กระทรวงยุติธรรมและ ตร. จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอโดยเฉพาะงบประมาณสำหรับค่าอาหารของผู้ถูกควบคุมตัว ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเวรรักษาการของเจ้าหน้าที่

7) ปัญหาการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี ปัจจุบันมีผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีอยู่ในเรือนจำ กว่า 55,000 คน หรือร้อยละ 20 ของจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด โดยผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีไม่ถูกจำแนกให้ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างและเหมาะสมกับสถานะที่ไม่ใช่ผู้ต้องขังเด็ดขาด จึงมีข้อเสนอแนะให้ ครม. เร่งพิจารณาปรับปรุงกฎกระทรวงที่ออกตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89/1 เพื่อจำแนกผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีออกจากผู้ต้องขังเด็ดขาดเพื่อให้ได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมกับสถานะ

8) ปัญหาการปฏิบัติต่อผู้ถูกควบคุมตัวในพื้นที่ซึ่งประกาศใช้กฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยในกระบวนการซักถาม ไม่ได้เปิดโอกาสให้ทนายความ ญาติ หรือผู้ซึ่งผู้ถูกควบคุมตัวไว้วางใจเข้าร่วมฟังและให้คำปรึกษา จึงมีข้อเสนอแนะให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มอบหมายให้ศูนย์ซักถาม หน่วยข่าวกรองทหารส่วนหน้า และศูนย์ซักถาม หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานในพื้นที่ ดำเนินการให้ผู้ถูกจับกุมได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะเข้าถึงที่ปรึกษากฎหมายหรือทนายความ เพื่อช่วยเหลือในการต่อสู้คดีตั้งแต่แรกเมื่อถูกจับกุม เชิญตัว และควบคุมตัว และให้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการซักถาม โดยใช้ห้องทำงานทั่วไปของเจ้าหน้าที่ หรือห้องประชุมทดแทน เพื่อให้มีลักษณะโปร่งใสตรวจสอบได้และไม่เป็นการสร้างบรรยากาศการคุกคามหรือขู่เข็ญ โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 อย่างเคร่งครัด

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กรรมการสิทธิฯ ออกแถลงการณ์ กังวล 'สว.อังคณา' ถูกข่มขู่คุกคามเพราะความเห็นต่าง

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เผยแพร่แถลงการณ์ เรื่อง ขอให้ทุกฝ่ายเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง และไม่ยอมรับการสร้างความเกลียดชัง โดยมีรายละเอียดดังนี้

ย้อนแย้ง 'อดีตประธานกสม.' แฉ 'นักสิทธิมนุษยชน' กลายเป็นผู้ละเมิดสิทธิของผู้อื่น

นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า เมื่อ “นักสิทธิมนุษยชน” กลายเป็นผู้ละเมิดสิทธิของผู้อื่น?

'กสม.' แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำแนวปฏิบัติต่อผู้ถือบัตรผู้ลี้ภัยสอดคล้องพ.ร.บ.ป้องกันการทรมานฯ

กสม.แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวปฏิบัติต่อผู้ถือบัตรผู้ลี้ภัยที่เข้ามาพำนักในประเทศไทย ให้สอดคล้องตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ และหลักสากล

นักวิชาการเขมรโต้ 'สีหศักดิ์' ปมค่ายอพยพหนองจาน ไทยวาดแผนที่เองอย่างไม่ละอาย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

แขมร์ไทม์ส สื่อภาษาอังกฤษของกัมพูชา เสนอบทความ นักวิเคราะห์เขมรวิพากษ์วิจารณ์ไทย สนับสนุนการผลักดันทางการทูตของกัมพูชา ระบุว่า

กสม.ชี้การขอตั้งโรงไฟฟ้าขยะ7แห่งภาคตะวันออก ปิดกั้นการมีส่วนร่วมของปชช.แนะ สผ.ทบทวน

กสม. ตรวจสอบการขอตั้งโรงไฟฟ้าขยะ 7 แห่งในภาคตะวันออก ระบุมีการปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน แนะ สผ. ทบทวนหลักเกณฑ์ให้โรงไฟฟ้าทุกประเภท ทุกขนาด ต้องจัดทำรายงาน EIA

กสม.แนะนายกฯ ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า หลังพบเด็กและเยาวชนใช้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว

ประธาน กสม. มีหนังสือด่วนที่สุดถึงนายกรัฐมนตรี แจ้งข้อเสนอแนะในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า หลังพบเด็กและเยาวชนใช้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว และได้รับผลกระทบด้านสุขภาพรุนแรง