กสม.แนะแก้ไขปัญหาสิทธิในที่ดินปชช. ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการขยายเหมืองแม่เมาะ

กสม. แนะกระทรวงพลังงานเร่งเสนอ ครม. แก้ไขปัญหาสิทธิในที่ดินให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการขยายเหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปาง

27ธ.ค.2567 - นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่งเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ระบุว่า เดิมผู้ร้องอาศัยอยู่ที่บ้านหางฮุง หมู่ที่ 3 ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ต่อมาการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) (ผู้ถูกร้องที่ 1) มีโครงการขยายเหมืองแม่เมาะ และโครงการอ่างเก็บน้ำแม่จาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ไปยังบริเวณใกล้บ้านหางฮุง ประชาชน จึงเรียกร้องให้มีการอพยพ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2544 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้อพยพประชาชนบ้านหางฮุงที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานดังกล่าวออกจากพื้นที่เดิม ไปอยู่ที่บ้านเวียงหงส์ล้านนา หมู่ที่ 12 ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง โดยได้รับจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยครอบครัวละ 2 งาน แต่ กฟผ. และสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้องที่ 2) ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแล กฟผ. ในขณะนั้น ไม่ดำเนินการให้ตนและประชาชนที่อพยพมาอาศัยอยู่ที่บ้านเวียงหงส์ล้านนาได้รับเอกสารสิทธิในที่ดิน ทำให้เสียโอกาสในการถือครองที่ดิน ไม่สามารถพัฒนาด้านเศรษฐกิจ หรือสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่นได้เนื่องจากอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จึงขอให้ตรวจสอบ

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า โครงการขยายเหมืองแม่เมาะฯ ของ กฟผ. เป็นผลให้มีการอพยพประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฯ ในพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง หลายครั้ง โดยครั้งที่ 1 - 4 เกิดขึ้นระหว่างปี 2521 - 2536 ซึ่ง กฟผ. ได้อพยพประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โครงการไปอาศัยในพื้นที่จัดสรร ณ บ้านท่าปะตุ่น - นาแขม ตำบลแม่เมาะ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่เมาะและป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่จาง ต่อมาปี 2536 ประชาชนกลุ่มดังกล่าวได้เรียกร้องเอกสารสิทธิในที่ดิน เนื่องจากส่วนใหญ่มีเอกสารสิทธิในที่ดินเดิมก่อนการอพยพ คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงมีมติเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2543 ให้ออกโฉนดที่ดินเฉพาะส่วนที่อยู่อาศัย และออก ส.ป.ก. 4-01 ในส่วนที่ดินทำกิน ในพื้นที่อพยพให้แก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าว

ต่อมา มีการอพยพประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการขยายเหมืองแม่เมาะฯ ครั้งที่ 5 ซึ่งเป็นกรณีตามคำร้องนี้ เกิดขึ้นระหว่างปี 2545 – 2552 โดยประชาชนบ้านหางฮุง หมู่ที่ 3 ตำบลแม่เมาะ 341 ครัวเรือน ได้รับจัดสรรที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่เมาะ บ้านเวียงหงส์ล้านนา หมู่ที่ 12 ตำบลแม่เมาะ ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2544 โดยให้เป็นที่อยู่อาศัยครัวเรือนละ 200 ตารางวา แต่ไม่ได้รับเอกสารสิทธิในที่ดิน และถูกห้ามไม่ให้เข้าไปปลูกสร้างบ้านพักอาศัยและสิ่งปลูกสร้างถาวรในที่ดินเดิมที่บ้านหางฮุง ตามประกาศคณะทำงานจ่ายเงินช่วยเหลือค่ารื้อถอนเพื่ออพยพราษฎรบ้านหางฮุง หมู่ที่ 3 ตำบลแม่เมาะ ลงวันที่ 17 มีนาคม 2552 ทั้งนี้ ประชาชนที่อพยพไปยังบ้านเวียงหงส์ล้านนาส่วนใหญ่มีเอกสารสิทธิในที่ดินเดิมก่อนการอพยพ

โดยปรากฏว่าการที่ประชาชนกลุ่มดังกล่าวไม่ได้รับเอกสารสิทธิในที่ดินแปลงอพยพ บ้านเวียงหงส์ล้านนา เนื่องจาก กฟผ. และสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องทั้งสองอ้างว่า มติ ครม. เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2544 ที่เห็นชอบให้อพยพประชาชนบ้านหางฮุงครั้งที่ 5 ตามคำร้องนี้ มิได้มีมติให้ออกเอกสารสิทธิให้กับผู้ถูกอพยพ จึงไม่สามารถดำเนินการเพื่อให้มีการออกเอกสารสิทธิได้ และการอพยพเป็นไปตามความสมัครใจ อีกทั้งในเวลานั้น กฟผ. ไม่ต้องการใช้พื้นที่ในการขยายโครงการแล้ว แต่ประชาชนยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินบ้านหางฮุงและต้นไม้ที่มีอยู่เดิม อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นพบว่า การอพยพครั้งที่ 5 เกิดจากการที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการที่ กฟผ. อพยพประชาชนบ้านหางฮุงประมาณครึ่งหนึ่งออกจากพื้นที่ไปก่อนหน้านั้น ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบด้านการตั้งถิ่นฐานอยู่ร่วมกันของชุมชนซึ่งต้องห่างไกลกันจากญาติพี่น้อง มีการเปลี่ยนแปลงด้านประเพณีวัฒนธรรมและการพัฒนาหมู่บ้าน รวมถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

ดังนั้น การที่ผู้ถูกร้องทั้งสองมิได้ดำเนินการให้มีการออกเอกสารสิทธิให้แก่ประชาชนในพื้นที่บ้านเวียงหงส์ล้านนาเช่นเดียวกับการอพยพครั้งอื่น จึงสะท้อนให้เห็นว่า การปฏิบัติของภาครัฐเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้ร้องและประชาชนบ้านเวียงหงส์ล้านนาให้แตกต่างไปจากผู้อพยพครั้งอื่น ซึ่งเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน กฟผ. (ผู้ถูกร้องที่ 1) อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน ประกอบกับจังหวัดลำปางได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาการออกเอกสารสิทธิในพื้นที่รองรับการอพยพบ้านเวียงหงส์ล้านนา โดยเห็นควรให้เพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่เมาะบางส่วน เพื่อนำมาออกเอกสารสิทธิให้กับประชาชนบ้านเวียงหงส์ล้านนา และเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 จังหวัดลำปางได้มีหนังสือแจ้งมติของคณะกรรมการชุดดังกล่าว ไปยังสำนักงานพลังงานจังหวัดลำปางเพื่อประมวลเรื่องเสนอกระทรวงพลังงาน และนำเสนอต่อ ครม. เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป

อย่างไรก็ดี เนื่องจากการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดเสนอเรื่องการแก้ไขปัญหาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง กรณีเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่เมาะบางส่วน ซึ่งเป็นพื้นที่รองรับการอพยพ เพื่อนำมาออกเอกสารสิทธิให้กับประชาชนบ้านเวียงหงส์ล้านนา หมู่ที่ 12 ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ต่อ ครม. เพื่อให้ความเห็นชอบโดยเร็ว

ให้ ครม. พิจารณาเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่เมาะบางส่วน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการออกเอกสารสิทธิเฉพาะในส่วนที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนบ้านเวียงหงส์ล้านนา หมู่ที่ 12 ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง

และให้ กฟผ. นำข้อเท็จจริงตามคำร้องนี้ ไปประกอบการพิจารณาหากต้องเวนคืนที่ดินสำหรับใช้ในกิจการพลังงาน และอพยพประชาชนออกจากที่ดิน โดยจะต้องคำนึงถึงวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรม ของการดำรงอยู่ร่วมกันของประชาชนในชุมชน ด้วย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กรรมการสิทธิฯ ออกแถลงการณ์ กังวล 'สว.อังคณา' ถูกข่มขู่คุกคามเพราะความเห็นต่าง

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เผยแพร่แถลงการณ์ เรื่อง ขอให้ทุกฝ่ายเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง และไม่ยอมรับการสร้างความเกลียดชัง โดยมีรายละเอียดดังนี้

‘อรรถพล’เดินหน้านโยบาย Quick Big Winลดราคาดีเซลลง 50สต. เบนซิน ลง30สต.

‘อรรถพล’ เดินหน้านโยบาย Quick Big Win ‘ทำจริง-เห็นผลจริง’ สั่งลดราคาดีเซลลง 50 สตางค์/ลิตร และเบนซินลง 30 สตางค์/ลิตร เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน

'กสม.' แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำแนวปฏิบัติต่อผู้ถือบัตรผู้ลี้ภัยสอดคล้องพ.ร.บ.ป้องกันการทรมานฯ

กสม.แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวปฏิบัติต่อผู้ถือบัตรผู้ลี้ภัยที่เข้ามาพำนักในประเทศไทย ให้สอดคล้องตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ และหลักสากล