
28 ก.พ.2568 - ดร. น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด เผยแพร่บทความ เรื่อง 'หลักการห้ามส่งกลับหรือ Non – Refoulement' มีเนื้อหาดังนี้
ตาม มาตรา ๑๓ ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้น จะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือ ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย มีที่มาจากแนวคิดเรื่อง หลักการห้ามส่งกลับหรือ Non – Refoulement
หลักการห้ามส่งกลับ เป็นทางปฏิบัติที่พัฒนากลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในกฎหมายระหว่างประเทศจนกลายเป็นกฎหมายจารีตประเพณีหรือ Customary Law ที่ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอาณาเขตติดต่อกัน ขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้น จะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ทั้งต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ การล่วงละเมิดทางเพศ การทรมาน ทารุณโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม
นอกจากนี้ศาลและหน่วยงานคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่างๆได้แปลความหมายของหลักการ Non – Refoulement รวมไปถึงการไม่จัดหาบริการทางการแพทย์ให้แก่ผู้เจ็บป่วย และสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่เหมาะสมด้วย เป็นต้น ตาม มาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำทรมานฯ พ.ศ. ๒๕๖๕ ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้น จะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย สอดคล้องกับ Article 3 ของอนุสัญญา Convention Against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment (CAT) 1984 และ Article 16 ของ The International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance (ICPPED) 2010
การห้ามส่งกลับสอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนเรื่องสิทธิในการแสวงหาสถานที่ลี้ภัยของผู้อพยพในดินแดนประเทศต่างๆที่ปลอดภัยเพื่อลี้ภัยจากการประหัตประหารที่ละเมิดต่อชีวิตตามที่ปรากฏใน Article 14 of the Universal Declaration of Human Rights หลักการห้ามส่งกลับ (Non – Refoulement) ยังปรากฏใน The 1951 Refugee Convention ที่ให้ประเทศภาคีต้องไม่ผลักดันหรือส่งกลับผู้ประสบภัยที่อพยพจากประเทศที่มีชายแดนติดต่อกันที่ประสบภัยคุกคามจากสาเหตุความแตกต่างในด้านเชื้อชาติ ศาสนา การเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคมหรือความคิดเห็นทางการเมือง อย่างไรก็ตามหลักการห้ามส่งกลับหรือ Non – Refoulement ในกรณีผู้อพยพมีข้อยกเว้นในหลายประการ เช่น ผู้อพยพจะไม่สามารถเรียกร้องสิทธิในการแสวงหาที่ลี้ภัยในประเทศที่มีชายแดนติดต่อกันนั้นหากปรากฎเหตุผลที่น่าเชื่อว่าการอาศัยอยู่จะก่อให้เกิดภัยต่อความมั่นคงของประเทศนั้นๆ หรือเป็นนักโทษเด็ดขาดในความผิดอาญาร้ายแรง หรือการอาศัยอยู่มีแนวโน้มจะก่อภยันตรายต่อสังคมในดินแดนประเทศที่ตนลี้ภัยอาศัยอยู่
อย่างไรก็ตามหากปรากฏข้อเท็จจริงว่าบุคคลตามข้อยกเว้นนั้นหากถูกส่งกลับจะตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย เช่นนี้ ประเทศที่รับผู้อพยพนั้นจะผลักดันหรือส่งกลับผู้อพยพไม่ได้โดยเด็ดขาดเพราะหลักการห้ามกระทำการทรมาน กระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือกระทำให้สูญหายเป็นหลักการที่มีคุณค่าสูงสุดในทางกฎหมายระหว่างประเทศที่เหนือกว่าด้านความมั่นคง พฤติการณ์พิเศษใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะสงครามหรือภัยคุกคามที่จะเกิดสงคราม ความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศ หรือสถานการณ์ฉุกเฉินสาธารณะอื่นใด ไม่อาจนำมากล่าวอ้างยกเว้นได้ จึงเป็นหลักการระหว่างประเทศสูงสุดที่ไม่อาจจะละเมิดได้ (Jus Cogens)
ปัญหาการห้ามผลักดันหรือส่งกลับนี้สร้างภาระให้แก่ประเทศที่มีชายแดนติดต่อกันทำให้หลายประเทศเลือกใช้วิธีการผลักดันไม่ให้ผู้อพยพขึ้นฝั่งหรือปิดทางไม่ให้เคลื่อนย้ายเข้าในประเทศเพื่อไม่ต้องผูกพันตามหลักการ Non – Refoulement การใช้วิธีการเช่นนี้ต่อบุคคลหรือผู้อพยพที่มีความเสี่ยงภัยจากการกระทำการทรมาน กระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือกระทำให้สูญหาย จึงไม่ต่างกับการที่ประเทศที่ปิดกั้นการขึ้นฝั่งหรือการเคลื่อนย้ายหรืออพยพนั้นเป็นประเทศผู้กระทำการทรมาน กระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือกระทำให้สูญหายเสียเอง
เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง ดังนั้น รัฐจึงมีหน้าที่ดำเนินการทั้งทางนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการเพื่อให้ความคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลทุกคนมีประสิทธิภาพในทางปฏิบัติในดินแดนตนโดยไม่เลือกปฏิบัติอันมีเหตุมาจากความแตกต่างทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนา หรือความเห็นทางการเมือง ดังนั้น หลักการห้ามส่งกลับ (Non – Refoulement) ต้องนำมาพิจารณาประกอบเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. ๒๕๕๑ และการ “ส่งกลับ” ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยตามมาตรา ๑๓ บัญญัติห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ “ส่งกลับ”....... นี้มีเจตนารมย์ที่จะบังคับไปถึงการ “ส่งกลับ” ที่บัญญัติในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ด้วย
รัฐโดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและพนักงานอัยการจึงมีหน้าที่ต้องแสวงหาข้อเท็จจริงและประเมินความเสี่ยงภัยที่บุคคลใดที่จะถูก “ส่งกลับ” หรือส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนที่อาจจะถูกละเมิดจากการกระทำการทรมาน กระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือกระทำให้สูญหาย อันอาจจะเป็นเหตุให้อัยการสูงสุดในฐานะผู้ประสานงานกลางจะปฏิเสธคำขอและไม่ดำเนินการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้ ตามมาตรา ๑๔ พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. ๒๕๕๑
กรณีมีการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนจากประเทศผู้รับคําร้องขอมายังประเทศไทยให้พนักงานอัยการ ให้พนักงานอัยการมีอํานาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับทุกๆอาชีพที่ต้องมีข้อมูลเพียงพอในการกระทำการใดๆ และพนักงานอัยการสามารถรวบรวมพยานหลักฐาน หรือสอบปากคําพยานบุคคล หรือออกคําสั่งเรียกบุคคลใดมาให้การต่อพนักงานอัยการและดําเนินการอื่นๆตามที่เห็นสมควรรวมทั้งอาจแจ้งให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอํานาจหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐดําเนินการใดเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาวินิจฉัยสั่งการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ตาม มาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. ๒๕๕๑ รัฐโดยพนักงานอัยการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจึงต้องดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานโดยไม่นิ่งเฉยหรือผลักให้เป็นภาระแก่บุคคลที่จะถูก “ส่งกลับ” หรือ “ส่งตัวป็นผู้ร้ายข้ามแดน” ที่จะต้องดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงพยานหลักฐานหรือเป็นฝ่ายต้องขวนขวายหาข้อมูลแก่รัฐแต่เพียงลำพัง
ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนตามข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่มีในคดีแล้ว ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในภายหลังว่าบุคคลที่จะถูกส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนดังกล่าวมีความเสี่ยงภัยต่อการกระทำการทรมาน กระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือกระทำให้สูญหาย รัฐโดยฝ่ายบริหารมีอำนาจอิสระเด็ดขาดโดยลำพังที่จะยกเลิกการดำเนินการส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนตามคำสั่งศาลได้ ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจที่ฝ่ายนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการมีอิสระต่อกัน เช่นเดียวกับหลักการที่ปรากฏใน มาตรา ๒๙ ที่บัญัติว่าในกรณีที่ประเทศไทยร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนซึ่งความผิดอันเป็นมูลเหตุที่ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้นต้องระวางโทษถึงประหารชีวิตตามกฎหมายไทยแต่ไม่ถึงโทษประหารชีวิตตามกฎหมายของประเทศผู้รับคําร้องขอและรัฐบาลจําเป็นต้องให้คํารับรองว่าจะไม่มีการประหารชีวิตก็ให้มีการเจรจาตกลงเพื่อให้มีการรับรองดังกล่าวได้ในกรณีนี้หากศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิตให้รัฐบาลดําเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเพื่อให้มีการบังคับตามคําพิพากษาโดยวิธีจําคุกตลอดชีวิตแทนการประหารชีวิตได้
ปัจจุบันสถานการณ์การเข้าเมืองของชนกลุ่มน้อยหรือผู้หนีภัยสงครามในประเทศไทยขณะนี้เกิดภาระกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเพราะมีกลุ่มชาติพันธุ์ประมาณ 100 สัญชาติ จำนวนกว่า 5,000 คน ที่ผลักดันกลับไม่ได้ เพราะคนเหล่านี้อาจจะมีภัยอันตรายหรือถูกฆ่าตายหรือกระทำทรมานตามหลักการ Non – Refoulement จึงต้องถูกกักตัวไว้ ในบางรายเกินกว่า 10 ปี มีสภาพความเป็นอยู่ไม่ต่างกับนักโทษคดีอาญาโดยไม่มีความผิดอะไร รัฐจึงมีหน้าที่ต้องดูแลสภาพสถานที่กักขังและระมัดระวังไม่ให้การกักขังนั้นมีสภาพความเป็นอยู่ที่เป็นการไร้มนุษยธรรมหรือลดทอนความเป็นคุณค่าความเป็นมนุษย์
อย่างไรก็ตามต้องป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือฉวยโอกาสเรียกรับสินบนจากผู้ถูกกักขังเหล่านี้เสียเองในขณะอยู่ในการควบคุมด้วย ซึ่งด้วยข้อจำกัดหลายประการปัญหาต่างๆยังไม่ได้รับการแก้ไขจนถึงปัจจุบัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กสม.ออกแถลงกรณ์ห่วงไทยส่งผู้ลี้ภัยชาวมองตานญาดกลับเวียดนาม!
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์
นักวิชาการเขมรโต้ 'สีหศักดิ์' ปมค่ายอพยพหนองจาน ไทยวาดแผนที่เองอย่างไม่ละอาย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
แขมร์ไทม์ส สื่อภาษาอังกฤษของกัมพูชา เสนอบทความ นักวิเคราะห์เขมรวิพากษ์วิจารณ์ไทย สนับสนุนการผลักดันทางการทูตของกัมพูชา ระบุว่า
'อสส.' เด็ดปีก 'อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ' จากอเมริกาส่งตรงคุกไทย
อสส.ร่อนเอกสารประสานนำตัว “นพรัตน์”อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ กลังมาดำเนินคดีเงินทอนวัดจากอเมริกาฯถึงไทยเเล้วเมื่อวาน
ชาวบ้านบุรีรัมย์เดือด! ประณามกัมพูชายิงปืนใหญ่ใส่ชุมชน ร้องหยุดยั่วยุสงคราม
สถานการณ์ชายแดนยังตึงเครียด ชาวบ้านบุรีรัมย์รวมตัวประณามผู้นำและทหารกัมพูชา หลังยิงปืนใหญ่-ระเบิดใส่หมู่บ้าน ทำคนตาย-บาดเจ็บ ต้องหลบภัยนอนใต้ดินนาน 3 วัน จี้หยุดยั่วยุปลุกปั่น ละเมิดสิทธิมนุษยชนซ้ำซาก
'ธงชัย' จ่อยื่นคำร้องศาลอาญาสั่งปลดกุญแจเท้า 'อานนท์' ชี้โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ละเมิดสิทธิมนุษยชน
ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 นี้ เวลา 9.00 น. ธงชัย วินิจจะกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ พร้อมตัวแทนจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม แล
'ดร.น้ำแท้' ชี้ 'ขอบเขตอำนาจตุลาการ' คดี 'ป่วยทิพย์' ศาลเริ่มคดีเองขัดหลัก Double Jeopardy
ดร. น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด เผยแพร่บทความ เรื่อง ขอบเขตอำนาจตุลาการ มีเนื้อหาดังนี้ ทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Power) เป็นหลักการที่เป็นหัวใจของระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย

