ปลัด มท. เผยมีประชาชนต้องอพยพจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา มากกว่า 100,000 คนไปยังศูนย์พักพิง 295 แห่ง พร้อมกำชับผู้ว่าฯ นายอำเภอ บูรณาการทุกภาคส่วนดูแลความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของประชาชนให้ถูกสุขลักษณะ พร้อมสร้างขวัญกำลังใจประชาชนควบคู่การบำรุงขวัญกำลังพลตามแนวพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง
.
25ก.ค.2568 - เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 68 เวลา 22.30 น. นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงการบริหารจัดการสถานการณ์ภัยจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นจากการลักลอบยิงอาวุธของกัมพูชาเข้ามาล่วงล้ำอธิปไตยของประเทศไทยจนส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ที่พักอาศัยพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้รับผลกระทบ ทั้งการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงต้องอพยพย้ายที่พักชั่วคราว โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง นำกำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) บูรณาการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และทุกภาคส่วน นำยานพาหนะของทุกหน่วยงานเร่งอพยพประชาชนเข้าไปยังพื้นที่ปลอดภัยห่างจากแนวการปะทะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งให้ดูแลด้านการใช้ชีวิตครอบคลุมปัจจัยความจำเป็นพื้นฐาน ทั้งด้านอาหาร เครื่องดื่ม ยารักษาโรค ห้องน้ำ และที่พัก ให้ถูกสุขลักษณะ โดยเน้นย้ำเรื่อง “ความปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
.
“สำหรับจำนวนประชาชนผู้ที่ได้ทำการอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวทั้ง 4 จังหวัดข้างต้น ณ วันที่ 24 ก.ค. 68 เวลา 22.30 น. มีจำนวนรวม 100,672 คน ศูนย์พักพิง 295 แห่ง จำแนกเป็น จังหวัดสุรินทร์ 56,000 คน ศูนย์พักพิง 67 แห่ง จังหวัดศรีสะเกษ 17,196 คน ศูนย์พักพิง 58 แห่ง จังหวัดบุรีรัมย์ 17,000 คน ศูนย์พักพิง 1 แห่ง และจังหวัดอุบลราชธานี 10,476 คน ศูนย์พักพิง 169 แห่ง” นายอรรษิษฐ์ กล่าว
นายอรรษิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยยังได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ได้บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนสร้างขวัญกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชนควบคู่การบำรุงขวัญกำลังพลทั้งฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามแนวพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง พร้อมทั้งร่วมกันเป็นกำลังใจให้กับบรรดาพี่น้องทหารหาญผู้ที่กำลังทำหน้าที่เป็นกำลังส่วนหน้าที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และสร้างความรับรู้เข้าใจให้ประชาชนในศูนย์พักพิงได้ทราบถึงสถานการณ์ รวมทั้งการดูแลความปลอดภัยทรัพย์บริเวณหมู่บ้าน อาคารบ้านเรือน โดยกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมทั้งย้ำเตือน “ห้ามกลับไปยังพื้นที่หมู่บ้าน” จนกว่าทางภาครัฐจะประกาศให้สามารถกลับไปได้ตามปกติ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯ สั่งผู้ว่าฯ 7 จว.ชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องมีความพร้อมเต็มที่ ดูแล-อพยพประชาชน
นายกฯ มอบนโยบายชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน สั่งผู้ว่าฯ 7 จังหวัดเตรียมแผนดูแลประชาชน เผย ยืมสตาร์ลิงค์ทหารไว้สื่อสารแล้วเปรียบ ”ชรบ.“ เป็นกำแพงมหึมาดูแลแนวหลังให้ปลอดภัย - สร้างความสบายใจให้ทหารไม่ต้องพะวงหลังห่วงครอบครัว ชี้ ใครคิดรบกับไทยคงประสาทไม่ดี
'ผบ.ทสส.' สั่ง ศป.กฉ.ส่วนหน้า 8 ข้อ เร่งฟื้นฟู 'หาดใหญ่'
'ผบ.ทสส.' สั่ง ศป.กฉ.ส่วนหน้า 8 ข้อ จัดระเบียบ ‘ศูนย์พักพิง-การแพทย์’ เร่งเปิดระบบ ‘ไฟฟ้า-ประปา’ แจกถุงยังชีพ-อาหาร มาตรการ รปภ. เก็บกู้ร่างผู้เสียชีวิต ตั้งจุดรวบรวมขยะ 4 พื้นที่ ย้ายยานพาหนะกีดขวาง
สุรศักดิ์ พร้อมยกระดับศูนย์พักพิงชั่วคราว ม.อ.เป็นโรงพยาบาลสนาม เผยระบบการสื่อสารบริการโทรศัพท์ฟรีจากเครือข่าย AIS และฟรีไวไฟจาก True
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2568 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ตนได้ร่วมติดตามนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อบัญชาการและติดตามสถานการณ์วิกฤติน้ำท่วม
'เท้ง' สอน 'อนุทิน' บูรณาการแก้ปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่
'ณัฐพงษ์' แนะ 'รัฐบาล' ต้องบูรณาการการทำงานกับทุกหน่วยงานในพื้นที่ เร่งประสานงานศูนย์พักพิงอิสระ เพื่อสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็น กระจายความช่วยเหลือให้ครบถ้วนด้วย
ศูนย์พักพิง ม.อ.หาดใหญ่ รับผู้ประสบอุทกภัยแล้วกว่า 1 พันคน ยังขาดแคลนเครื่องใช้จำเป็น
สถานการณ์มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ศูนย์พักพิง ม.อ. รับผู้ประสบอุทกภัยแล้วกว่า 1 พันคน เผยรองรับได้สูงสุดถึง 3 พันคน
ปัตตานีอ่วม! ฝนยังถล่มท่วมทั้ง 12 อำเภอ ดับแล้ว 3 ราย
บริเวณเขื่อนปัตตานี อ.แม่ลาน เจ้าหน้าที่จำเป็นต้อง เปิดประตูระบายน้ำทั้ง 7 บาน เพื่อเร่งพร่องน้ำอย่างเร่งด่วน หลังมวลน้ำก้อนใหญ่จากตอนเหนือของ จ.ยะลา อ.กรงปีนัง และ อ.บันนังสตา


